โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ยานยนต์

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

autoinfo.co.th

เผยแพร่ 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Toyota เผยยอดขายครึ่งปี 2568 ลดลง 1.7 %

Toyota (โตโยตา) เผยตลาดรถยนต์ครึ่งปี 2568 ยอดขายสะสมตลาดรวม 302,694 คัน ลดลง 1.7 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คาดการณ์ยอดขายโดยรวมของปี 2568 อยู่ที่ 600,000 คัน

ศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เผยว่า ตลาดรถยนต์ครึ่งปี 2568 มียอดขาย 302,694 คัน ลดลง 1.7 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง มียอดขายสะสม 117,482 คัน ลดลง 1.5 % ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มียอดขายลดลง 1.8 % ด้วยยอดขาย 185,212 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 94,715 คัน ลดลงถึง 12.7 % ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 132,493 คัน คิดเป็นสัดส่วน 43.8 % ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 21.8 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ HEV อยู่ที่ 67,202 คัน ซึ่งยอดขายรวมอยู่ในระดับเดียวกันกับปีที่แล้ว ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 56,529 คัน เติบโตขึ้น 54.5 %

เดือนมิถุนายน 2568 มียอดขาย 50,079 คัน เพิ่มขึ้น 5.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง เพิ่มขึ้น 9.4 % ด้วยยอดขาย 19,397 คัน ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 2.5 % ด้วยยอดขาย 30,682 คัน และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขาย 15,307 คัน ลดลง 8.2 % ในส่วนของตลาด xEV มียอดขายทั้งหมด 21,915 คัน คิดเป็นสัดส่วน 43.7 % ของตลาดรถยนต์ทั้งหมด เติบโตขึ้น 30.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมียอดขายรถยนต์ HEV เติบโตขึ้น 11.6 % ด้วยยอดขาย 11,034 คัน ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ BEV อยู่ที่ 9,743 คัน เพิ่มขึ้น 59.9 %

ส่วนเดือนกรกฎาคม มีแนวโน้มทรงตัว หรือลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงฟื้นตัวช้า ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือนอาจลด หรือชะลอการลงทุน และการใช้จ่ายออกไป เพื่อรอความชัดเจนด้านต่างๆ จากสถานการณ์ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเทศคู่ค้า รวมถึงความไม่แน่นอนระหว่างสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา

ศุภกร รัตนวราหะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ครึ่งปีแรก Toyota มียอดขายรถยนต์รวมที่ 113,889 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดถึง 37.6 % โดยเฉพาะตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up+รถกระบะดัดแปลง PPV) มียอดขายรวมอยู่ที่ 42,430 คัน มีส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์เซกเมนท์นี้ถึง 44.8 % สำหรับยอดขายรถยนต์นั่งอยู่ที่ 39,644 คัน มีส่วนแบ่งการตลาด 33.7 % อีกทั้ง Toyota ยังมียอดขายรถยนต์ไฮบริดถึง 31,793 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 24 % ของยอดจำหน่ายรถยนต์ในกลุ่มตลาด xEV ทั้งหมด

ส่วนภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในครึ่งปีแรก 2568 เริ่มส่งสัญญาณมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของที่ผ่านมา โดยมีตัวเลขยอดขายรวมครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่ 302,694 คัน หรือลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 1.7 % เมื่อเทียบกับปี 2567 Toyota ยังคงคาดการณ์ระดับตลาดในปี 2568 ที่ระดับ 600,000 คัน สำหรับ Toyota ตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 231,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 5 % สร้างส่วนแบ่งทางการตลาด เท่ากับ 38.5 % ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด โดยในครึ่งปีหลัง Toyota มีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรุ่น ทั้งในกลุ่มตลาดรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงตลาด xEV ซึ่งเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวไทย เพื่อร่วมส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างยั่งยืน

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมิถุนายน 2568

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 50,079 คัน เพิ่มขึ้น 5.1 %
อันดับที่ 1 Toyota 19,105 คัน เพิ่มขึ้น 3 % ส่วนแบ่งตลาด 38.1 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,625 คัน ลดลง 20.5 % ส่วนแบ่งตลาด 11.2 %
อันดับที่ 3 Honda 5,149 คัน ลดลง 15.9 % ส่วนแบ่งตลาด 10.3 %

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 19,397 คัน เพิ่มขึ้น 9.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 6,575 คัน เพิ่มขึ้น 22.4 % ส่วนแบ่งตลาด 33.9 %
อันดับที่ 2 Honda 3,130 คัน ลดลง 7.4 % ส่วนแบ่งตลาด 16.1 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 876 คัน ลดลง 48.3 % ส่วนแบ่งตลาด 4.5 %

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 30,682 คัน เพิ่มขึ้น 2.5 %
อันดับที่ 1 Toyota 12,530 คัน ลดลง 4.9 % ส่วนแบ่งตลาด 40.8 %
อันดับที่ 2 Isuzu 5,625 คัน ลดลง 20.5 % ส่วนแบ่งตลาด 18.3 %
อันดับที่ 3 Honda 2,019 คัน ลดลง 26.4 % ส่วนแบ่งตลาด 6.6 %

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 15,307 คัน ลดลง 8.2 %

อันดับที่ 1 Toyota 7,099 คัน ลดลง 10.6 % ส่วนแบ่งตลาด 46.4 %
อันดับที่ 2 Isuzu 4,756 คัน ลดลง 22.6 % ส่วนแบ่งตลาด 31.1 %
อันดับที่ 3 Ford 1,399 คัน ลดลง 14.5 % ส่วนแบ่งตลาด 9.1 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 4,032 คัน
Toyota 1,258 คัน - Isuzu 988 คัน - Ford 578 คัน - Mitsubishi 129 คัน - Nissan 33 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 11,269 คัน ลดลง 19.9 %
อันดับที่ 1 Toyota 5,841 คัน ลดลง 16 % ส่วนแบ่งตลาด 51.8 %
อันดับที่ 2 Isuzu 3,768 คัน ลดลง 29.3 % ส่วนแบ่งตลาด 33.4 %
อันดับที่ 3 Ford 821 คัน ลดลง 23.1 % ส่วนแบ่งตลาด 7.3 %

สถิติการจำหน่ายรถยนต์ เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568

1. ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 302,694 คัน ลดลง 1.7 %
อันดับที่ 1 Toyota 113,889 คัน ลดลง 2.1 % ส่วนแบ่งตลาด 37.6 %
อันดับที่ 2 Isuzu 37,506 คัน ลดลง 18.9 % ส่วนแบ่งตลาด 12.4 %
อันดับที่ 3 Honda 35,355 คัน ลดลง 18.7 % ส่วนแบ่งตลาด 11.7 %

2. ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 117,482 คัน ลดลง 1.5 %
อันดับที่ 1 Toyota 39,644 คัน เพิ่มขึ้น 19.2 % ส่วนแบ่งตลาด 33.7 %
อันดับที่ 2 Honda 19,672 คัน ลดลง 20.1 % ส่วนแบ่งตลาด 16.7 %
อันดับที่ 3 Mitsubishi 5,915 คัน ลดลง 40.2 % ส่วนแบ่งตลาด 5 %

3. ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 185,212 คัน ลดลง 1.8 %
อันดับที่ 1 Toyota 74,245 คัน ลดลง 10.6 % ส่วนแบ่งตลาด 40.1 %
อันดับที่ 2 Isuzu 37,506 คัน ลดลง 18.9 % ส่วนแบ่งตลาด 20.3 %
อันดับที่ 3 Honda 15,683 คัน เพิ่มขึ้น 16.9 % ส่วนแบ่งตลาด 8.5 %

4. ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน (Pure Pick up และรถกระบะดัดแปลง PPV*) ปริมาณการขาย 94,715 คัน ลดลง 12.7 %
อันดับที่ 1 Toyota 42,430 คัน ลดลง 14.6 % ส่วนแบ่งตลาด 44.8 %
อันดับที่ 2 Isuzu 32,804 คัน ลดลง 19.2 % ส่วนแบ่งตลาด 34.6 %
อันดับที่ 3 Ford 9,400 คัน ลดลง 16.7 % ส่วนแบ่งตลาด 9.9 %
*ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง (ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน) 20,714 คัน
Toyota 7,294 คัน - Isuzu 6,183 คัน - Ford 3,717 คัน - Mitsubishi 888คัน - Nissan 269 คัน

5. ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 73,995 คัน ลดลง 17.4 %
อันดับที่ 1 Toyota 35,136 คัน ลดลง 17.7 % ส่วนแบ่งตลาด 47.5 %
อันดับที่ 2 Isuzu 26,621 คัน ลดลง 23.2 % ส่วนแบ่งตลาด 36 %
อันดับที่ 3 Ford 5,683 คัน ลดลง 19 % ส่วนแบ่งตลาด 7.7 %
………………………………………………………………………………………………………….

Motor Expo 2025 แจกรถ 3 คัน บิกไบค์ 1 คัน

ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ รองประธานจัดงาน ควบคุมงานด้านการบริหารงานทั่วไป งาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เผยว่า ในงานปีนี้ ผู้จัดยังคงมีกิจกรรมคืนกำไรให้แก่ผู้ชมงาน โดยแจกรถ 3 คัน และบิกไบค์ 1 คัน รายการแรก ผู้ชมงานที่จอง/ซื้อรถยนต์ภายในงาน จะได้รับสิทธิ์ชิงโชครายการ “ซื้อรถ…ชิงรถ” ผู้จอง/ซื้อมอเตอร์ไซค์ภายในงาน จะได้รับสิทธิ์ชิงโชครายการ “ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์” ผู้ที่โหลด Motor Expo Application และลงทะเบียนกรอกข้อมูลครบถ้วน พร้อมชมงานผ่าน Motor Expo Application รับสิทธิ์ชิงรางวัลรถยนต์จากแอพพลิเคชัน ส่วนผู้ชมที่ซื้อบัตรเข้าชมงาน มูลค่า 100 บาท จะได้รับสิทธิ์ชิงโชคในรายการ “ซื้อบัตร…ชิงรถ”

………………………………………………………………………………………………………….

Mazda แนะนำ CX-30 Essential

Mazda (มาซดา) เผยโฉมอีกหนึ่งยนตรกรรมภายใต้ Essential Collection ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีสปอร์ทพรีเมียม New Mazda CX-30 Essential (มาซดา ซีเอกซ์-30 เอสเซนเชียล) ใหม่ ภายใต้แนวคิด “Live a Life of Value” เติมเต็มชีวิตให้คุ้มค่ากับเอสยูวีที่ใช่ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ สง่างามด้วย โคโดะ ดีไซจ์น ที่ออกแบบภายใต้คอนเซพท์ “Less is More” เรียบง่ายแต่งดงาม คงไว้ซึ่งความโฉบเฉี่ยว และทรงพลัง มาพร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus เหนือระดับด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ เบนซิน 2.0 ลิตร ทั้งแรง และประหยัดน้ำมัน ตอบสนองดีที่สุด ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า

ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า Mazda เป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร มีประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมายาวนานมากกว่า 74 ปี ด้วยการเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เพื่อให้รถยนต์ Mazda เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความสุข และเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้า ตลอดจนสร้างความยั่งยืนให้แก่โลก ผู้คน และสังคม อันเป็นปณิธานสูงสุดของเรา ทั้งนี้ แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้แบรนด์ Mazda ยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหลายประเทศทั่วโลก คือ การคงไว้ซึ่งดีเอนเอของแบรนด์ในทุกยนตรกรรม ไม่ว่าจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานรูปแบบใดก็ตาม Mazda ยังคงคุณค่าหลัก 5 ประการ หรือ 5 Common Values ในการพัฒนารถยนต์ Mazda ทุกรุ่น ประกอบด้วย

Artful Design การออกแบบสร้างสรรค์ดุจงานศิลปะชิ้นเอก Car As Art ถ่ายทอดภายใต้คอนเซพท์ Kodo: Soul of Motion จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว โดดเด่นด้วยความสวยงามต้องตาต้องใจผู้พบเห็น ทั้งดีไซจ์นภายนอก และภายใน รวมถึงสีภายนอกอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Mazda ที่ผลิตขึ้นด้วยแนวทาง “ทาคุมินูริ” ที่หมายถึง การเพนท์สีโดยช่างผู้ชำนาญการ
Japanese Mastery ความเชี่ยวชาญ พิถีพิถันในแบบฉบับของญี่ปุ่น คุณค่าระดับสูง สัมผัสได้จากคุณภาพอันประณีตพิถีพิถัน และมีเสน่ห์เฉพาะของชาวญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดลงในทุกองค์ประกอบของรถ Mazda โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการตัดเย็บ และการคัดสรรวัสดุภายในที่ประณีตดุจงานทำมือ แบบสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น
Human-Centricity การออกแบบโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยคำนึงถึงการใช้งานตามหลักสรีรศาสตร์ของมนุษย์เป็นหลัก ทั้งในเรื่องตำแหน่งผู้ขับขี่ การจัดวางอุปกรณ์ความสะดวกต่างๆ ภายในห้องโดยสาร รวมถึงการจัดวางตำแหน่งเบาะนั่งที่ช่วยรักษากระดูกสันหลังให้มีรูปทรงตัว S ทำให้กระดูกเชิงกรานตั้งตรง ช่วยลดความเหนื่อยล้าในการขับขี่
Effortless Joyful Driving ส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก และควบคุมง่ายดั่งใจ กับระบบการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus ควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยำ และสมดุล มั่นใจทุกการเข้าโค้ง พร้อมรับมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงระบบความปลอดภัย i-Activsense ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง และโครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟ ช่วยลดการบาดเจ็บให้น้อยที่สุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
Ingenious Solution นวัตกรรมอัจฉริยะขั้นสูง อาทิ เครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mazda Skyactiv-G และเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive โดดเด่นด้วยการรวมทุกข้อดีของเกียร์อัตโนมัติจากทุกระบบเข้ามาไว้ด้วยกัน ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ การเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่น ให้อัตราเร่งต่อเนื่อง และประหยัดน้ำมันในทุกรอบความเร็ว

ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีระดับพรีเมียม New Mazda CX-30 Essential ได้รับการออกแบบตามสไตล์ที่มีเอกลักษณ์ ภายใต้ Kodo Design, Soul of Motion มาพร้อมคอนเซพท์ “Less is More” ที่เน้นถึงความเรียบง่ายแต่งดงาม ถือเป็นการตอกย้ำถึงพันธกิจของ Mazda ในการมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมขึ้นไปอีกขั้น เพราะปรัชญาการออกแบบ Mazda คือ รถยนต์เปรียบเสมือนงานศิลปะชิ้นเอก “Car As Art” ที่บรรจงสรรค์สร้างขึ้นด้วยความเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ และยังคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ผ่านเทคโนโลยี Skyactiv และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย i-Activsense ที่ให้ทั้งสะดวกสบาย และความปลอดภัยไปพร้อมกัน

Mazda CX-30 คือ ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีเจเนอเรชันใหม่ล่าสุดของ Mazda ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์เหล่านี้ไว้อย่างลงตัวในทุกองค์ประกอบ ทั้งยังได้รับการการันตีความยอดเยี่ยมด้วยรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยม Thailand Car of The Year 2020 เป็นรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นเพียงแบรนด์เดียวที่เข้ารอบ 3 คันสุดท้ายเพื่อชิงรางวัล World Car of The Year 2020, คว้ารางวัล Golden Steering Wheel Award 2019 ประเภท Compact SUV จากประเทศเยอรมนี, รางวัล Red Dot Award 2020 ประเภท Product Design จากประเทศเยอรมนี, รางวัล Design Trophy 2020 ประเภท SUV และ ประเภท “Champion of all Classes” จากประเทศเยอรมนี และยังได้รับรางวัลอื่นๆ อีกมากมายจากหลายประเทศทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย รถรุ่นนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในยนตรกรรมที่สร้างศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดให้แก่แบรนด์ Mazda มาจนถึงปัจจุบัน

ธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า Mazda CX-30 เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกันกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ถึงแม้ว่าการเปิดตัวจะเจอกับวิกฤตที่หนักหนาสาหัส แต่ก็ไม่ทำให้ความนิยมรถยนต์รุ่นนี้ลดลง กลับทำให้รถยนต์รุ่นนี้ได้รับกระแสตอบรับอย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบันมีรถยนต์รุ่นนี้อยู่ในการครอบครองของลูกค้าชาวไทยไปแล้วกว่า 25,000 คัน และยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปิดตัว New Mazda CX-30 Essential ภายใต้กลุ่ม Essential Collection ในครั้งนี้ จะเป็นการสร้างกระแสความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เพราะเป็นการปรับเปลี่ยนรุ่นย่อยใหม่ และปรับราคาใหม่ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าคุ้มราคามากยิ่งขึ้น โดยรุ่นเริ่มต้นใหม่ที่เพิ่มเข้ามามีราคาให้เข้าถึงได้ง่ายเพียง 899,000 บาท

Mazda ได้พัฒนา และออกแบบรุ่นย่อยใหม่ โดยคัดสรรอุปกรณ์ให้เหมาะสม และจำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันทุกรูปแบบ พร้อมราคาใหม่ที่ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น โดยวางกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่กำลังมองหารถเอสยูวีสไตล์ใหม่ เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ของชีวิตคู่ หรือเป็นครอบครัวเริ่มต้นขนาดเล็กที่ต้องการความอเนกประสงค์จากรถเอสยูวีที่มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ด้วยฟังค์ชันความปลอดภัย และความสะดวกสบายครบครัน และมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม

นอกจากนี้ รถรุ่นนี้ยังมาพร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus หนึ่งในเทคโนโลยี Skyactiv-Vehicle Dynamic ที่พัฒนาต่อยอดจากระบบ GVC เพื่อช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยำ และสมดุล โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้ง และในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของคนกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่

1. รุ่น Prime ราคาจำหน่าย 899,000 บาท รุ่นเริ่มต้นใหม่ ที่ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
2. รุ่น Ultra ราคาจำหน่าย 999,000 บาท ปรับเพิ่มอุปกรณ์ และฟังค์ชันจากรุ่น C
3. รุ่น Signature ราคาจำหน่าย 1,099,000 บาท ปรับเพิ่มอุปกรณ์ และฟังค์ชันจากรุ่น S ในราคาเท่าเดิม

New Mazda CX-30 Essential มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 6 สี ประกอบด้วย
• สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal)
• สีเทา แมชีน กเรย์ (Machine Gray)
• สีบรอนซ์ พแลทินัม ควอร์ทซ์ (Platinum Quartz)
• สีเทา โพลีเมทัล กเรย์ (Polymetal Gray)
• สีดำ เจท บแลค (Jet Black)
• สีขาว สโนว์เฟลค ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl)

หมายเหตุ : สีแดง โซล เรด คริสตัล เพิ่ม 17,000 บาท สีเทา แมชีน กเรย์ เพิ่ม 15,000 บาท และสีขาว สโนว์เฟลค ไวท์ เพิร์ล เพิ่ม 10,000 บาท

ทั้งนี้ New Mazda CX-30 Essential ได้มีการปรับเพิ่มออพชัน และฟีเจอร์ใหม่เพิ่มขึ้นทุกรุ่น ซึ่งปัจจุบัน Mazda CX-30 มีจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่น ประกอบด้วย
1. CX-30 Carbon Edition ราคาจำหน่าย 1,211,000 บาท
2. CX-30 SP ราคาจำหน่าย 1,199,000 บาท
3. CX-30 S ราคาจำหน่าย 1,099,000 บาท
4. CX-30 C ราคาจำหน่าย 989,000 บาท

New Mazda CX-30 Essential จะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหารถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วยไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ด้วยองค์ประกอบที่ใส่มาครบครัน พร้อมส่งมอบความสนุกสนานในการขับขี่ และดีไซจ์นที่สง่างาม ที่สำคัญมีการปรับราคาใหม่ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ลูกค้าที่สนใจสามารถแวะชม และสัมผัสคันจริงได้ที่โชว์รูม Mazda ทั่วประเทศ พร้อมรับข้อเสนอ ดอกเบี้ย 2.49 % (1) ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี (2) พิเศษสุดสำหรับลูกค้า Mazda Family รับฟรีบัตรน้ำมัน มูลค่า 20,000 บาท
หมายเหตุ :
(1) ดาวน์ 25 %, ผ่อนนาน 48 เดือน
(2) บริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการ ได้แก่ (1) บมจ. วิริยะประกันภัย (2) บมจ. ธนชาตประกันภัย (3) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์ (4) บมจ. แอกซ่าประกันภัย

………………………………………………………………………………………………………….

Suzuki รุกตลาดครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่

บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดการประชุมผู้จำหน่ายรถยนต์ Suzuki (ซูซูกิ) ทั่วประเทศ ประกาศกลยุทธ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 โดยมีแผนเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในเดือนกันยายนนี้ เพื่อบรรลุเป้าขาย 8,000 คัน ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 41 % เมื่อเทียบจากยอดขายในปีที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้ายกระดับงานบริการหลังการขาย เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดสำคัญอย่างยิ่งของ Suzuki และสร้างความเชื่อมั่น และประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า

ทาดาโอะมิ ซูซูกิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Suzuki จัดประชุมผู้จำหน่ายเพื่อเตรียมความพร้อม และสื่อสารให้ผู้จำหน่ายได้รับทราบถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และแข็งแกร่ง พร้อมบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

หัวข้อสำคัญที่ได้มีการประกาศให้ผู้จำหน่ายได้รับทราบ คือ แผนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จะถูกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยภายใต้กลยุทธ์สำคัญอย่าง Global Model

ครึ่งปีหลัง Suzuki มุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของตลาดในประเทศไทยอย่างชัดเจน นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ยังมีการเตรียมแผนงานเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของผู้จำหน่ายอย่างรอบด้าน เพื่อรองรับแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากการดูแลด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง

“กลยุทธ์การนำเข้ารถยนต์ Global Model คือ หนึ่งในแผนงานที่เราได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งนอกจากการนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศอินโดนีเซียมาเป็นผลิตภัณฑ์หลักสำหรับจำหน่ายให้แก่ลูกค้าชาวไทย เรายังเตรียมนำเข้ารถยนต์รุ่นที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นจากภูมิภาคอื่นมาจำหน่ายอีกด้วย โดยจะยังคงรักษาจุดแข็งในเรื่องความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่มีให้ลูกค้าได้เลือกใช้งานตามไลฟ์สไตล์ และความต้องการ”

การประชุมครั้งนี้ยังตอกย้ำถึงความพร้อมของ Suzuki ในการเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง ด้วยการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดในเชิงรุก ทั้งการโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย และกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศเพื่อผลักดันยอดขายให้บรรลุเป้าหมายที่ 8,000 คันภายในปีนี้ ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต 41 % เมื่อเทียบจากยอดขายในปีที่ผ่านมา และสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตของ Suzuki ในประเทศไทยต่อไป

วัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจว่า สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คือ การรักษาความเชื่อมั่น และไว้วางใจจากผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ และงานบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญของ Suzuki

Suzuki มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพงานบริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำนวัตกรรม S-Solution มาใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้เต็มรูปแบบ ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวก และมั่นใจในการใช้บริการผ่านระบบ Dealer Management System (DMS) รวมถึงการนำเสนอแคมเปญ “Suzuki Worry Free” ที่มอบสิทธิพิเศษมากมายให้แก่ลูกค้า นอกจากนี้ ยังได้ตอกย้ำพันธกิจในการมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าผ่านการยกระดับการให้บริการหลังการขาย ด้วยการขยายเครือข่ายศูนย์บริการมาตรฐาน 2S (Service & Spare Parts) เพื่อให้บริการควบคู่ไปกับศูนย์บริการหลักประเภท 3S (Sales, Service & Spare Parts) เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง และรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีแผนงานจะเพิ่มศูนย์ซ่อมตัวถัง และสีมาตรฐานให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการแล้วจำนวน 44 แห่ง อีกทั้งยังได้สนับสนุนให้ผู้จำหน่ายขยายบริการ “Mobile Service” หรือบริการดูแลรถยนต์นอกสถานที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้รับการดูแลรถยนต์โดยไม่ต้องเดินทางไปยังศูนย์บริการ โดยทีมช่างผู้ชำนาญการพร้อมให้บริการพื้นฐานที่จำเป็น อาทิ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ตรวจเชคระบบเบื้องต้น เช่น ระบบเบรค แบทเตอรี หรือยาง และบริการบำรุงรักษาตามรอบระยะ เป็นต้น

วัลลภ กล่าวตอนท้ายว่า Suzuki ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมของผู้จำหน่ายทุกรายตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อให้สามารถรองรับการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"ความพร้อมในวันนี้ คือ สิ่งสำคัญที่จะตอกย้ำให้ลูกค้าเห็นถึงความมุ่งมั่นของ Suzuki ในการยึดมั่นในแนวทาง "Suzuki Cause We Care-เหนือกว่าความใส่ใจ คือ ความเข้าใจทุกความต้องการ" ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาบริการ และผลิตภัณฑ์คุณภาพตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน และพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน พร้อมอยู่เคียงข้างลูกค้า และชุมชนในทุกช่วงเวลา"

…………………………………………………………………………………………………………

“บอร์ดอีวี” ปรับเกณฑ์ EV3-EV3.5 จูงใจผลิต-ส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า

บอร์ด EV ปรับเกณฑ์ EV3-EV3.5 เห็นชอบปรับเงื่อนไขผลิตชดเชยยานยนต์ไฟฟ้า-ขยายเวลาจดทะเบียน

ปรับเกณฑ์ผลิตชดเชยการส่งออก

คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เห็นชอบให้กรมสรรพสามิต ปรับเงื่อนไขในการคำนวณจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตชดเชยภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 โดยให้ผลิต 1 คัน นับเป็นการผลิตชดเชย 1.5 คัน สำหรับยานยนต์ที่ผลิต และส่งออกไปต่างประเทศ ตั้งแต่ปี 2568 ตามข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขยายตลาดส่งออก โดยคาดว่าจะทำให้จำนวนการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ 12,500 คัน ในปี 2568 และ 52,000 คัน ในปี 2569

ขยายเวลาจดทะเบียน

นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการจดทะเบียนยานยนต์ที่จำหน่ายในช่วงเวลาสิ้นปี บอร์ด EV ได้เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ภายใต้มาตรการ EV3 และ EV3.5 ออกไปอีก 1 เดือน ดังนี้
- มาตรการ EV3 ให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธค. 68 เป็นจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธค. 68 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มค. 69

- มาตรการ EV3.5 จากเดิมให้จดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธค. 70 เป็นจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธค. 70 และจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มค. 71

หลักเกณฑ์จ่ายเงินอุดหนุน

บอร์ด EV ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลการจ่ายเงินอุดหนุนของกรมสรรพสามิตตามมาตรการ EV3 และ EV3.5 เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ดังนี้

1. สำหรับผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ไม่ขยายเวลาผลิตชดเชย ให้จัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย และรายงานผลการผลิตชดเชยเป็นรายเดือน โดยกรมสรรพสามิตจะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุนจนกว่าจะผลิตชดเชยสะสมได้ตั้งแต่ 50 % ของจำนวนที่ต้องผลิตชดเชยทั้งหมด และผลิตได้ตามแผนคาดการณ์
ในกรณีผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชย หรือผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3.5 จะต้องจัดทำแผนคาดการณ์การผลิตชดเชย โดยผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่ขยายเวลา ต้องวาง Bank Guarantee 20 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาทขึ้นไป และ 40 ล้านบาท บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยกรมสรรพสามิตจะยับยั้งการจ่ายเงินอุดหนุน หากผู้ได้รับสิทธิ์มียอดการผลิตชดเชยสะสมต่ำกว่าสัดส่วนที่กำหนด

2. ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 ที่จะขยายเวลาผลิตชดเชย สามารถจัดหาโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติมจากเดิมได้ เพื่อให้สามารถผลิตชดเชยได้ภายในเวลาที่กำหนด

3. ให้ผู้เข้าร่วมมาตรการ EV3 และ EV3.5 สามารถทบทวนการขอรับสิทธิ์ และการนับจำนวนการนำเข้าเพื่อการผลิตชดเชยได้ โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้นำเข้า และจดทะเบียนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน บริษัทสามารถเลือกที่จะคืนส่วนต่างทางภาษีสรรพสามิต พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม เพื่อที่จะไม่ต้องนับเป็นยอดในการผลิตชดเชย

การปรับปรุงหลักเกณฑ์ของบอร์ด EV ครั้งนี้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในการวางแผนธุรกิจ และเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อการส่งออกในระดับภูมิภาค และระดับโลก สอดรับกับเป้าหมาย 30@30 โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งด้านความต้องการ เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์ โดยยอดจดทะเบียนปี 2568 โต 52 % เงินลงทุน EV รวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

I-Motor เปิดตัวคันเร่งอัจฉริยะ

I-Motor (ไอ-มอเตอร์) ปรับเกมรุกตลาด EV Bike จับมือ Asahi Denso (อาซาฮี เดนโซ) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวนวัตกรรม “คันเร่งอัจฉริยะ (Smart Throttle)” ครั้งแรกในประเทศไทย ปี 2568 ตั้งเป้ายอดขาย 2,400 คัน ทั่วประเทศ

ปรีชา ประเสริฐถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า I-Motor เชื่อมั่นว่า “ความปลอดภัย” คือ หัวใจสำคัญของการพัฒนายานยนต์ จึงร่วมกับ Asahi Denso บริษัทชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้านการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนควบคุมสำหรับยานยนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีระบบควบคุม (Control Systems) สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เปิดตัวนวัตกรรม “คันเร่งอัจฉริยะ (Smart Throttle)” ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “New Era of Electric Motorcycle Technology” โดยความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้ง 2 บริษัทในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และผลักดันคุณภาพของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลอย่างแท้จริง

นวัตกรรม "คันเร่งอัจฉริยะ (Smart Throttle)" เป็นแนวทางใหม่ในการออกแบบ HMI หรืออินเตอร์เฟศระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร โดยผสานเทคโนโลยี APS (เซนเซอร์ตำแหน่งของคันเร่ง) ช่วยลดความเมื่อยล้าของข้อมือ โดยนำระบบคันเร่งแบบคันโยกด้วยนิ้วโป้ง (Thumb Throttle) มาใช้แทนการบิดแฮนด์แบบดั้งเดิม ช่วยให้ผู้ขับควบคุมความเร็วได้ง่าย และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพียงใช้นิ้วโป้งกดคันโยกที่อยู่ใต้แฮนด์ขวา ซึ่งมี 2 แบบ คือ คันโยกแบบหมุน และคันโยกแบบสไลด์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในเมือง หรือการเดินทางระยะไกล โดยแฮนด์ฝั่งขวายังมาพร้อมฟังค์ชันควบคุมครบครัน เช่น ปุ่มสลับโหมดการขับขี่ระหว่าง ECO และ PWR, ปุ่มเปิด-ปิดระบบไฟฟ้า และสวิทช์ Reset เพื่อความสะดวก และปลอดภัยสูงสุดในการใช้งาน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ออกแบบแฮนด์จับรุ่นใหม่ให้กระชับมือยิ่งขึ้น เพื่อรองรับสรีระผู้ขับขี่ และลดความเหนื่อยล้าจากการขับขี่ระยะทางไกล ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของ I-Motor ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่คือการยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานในทุกมิติ โดยจะมีการติดตั้งในรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวในปีหน้า

ปัจจุบัน I-Motor มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 250 คัน/เดือน มีจำหน่าย 2 รุ่น คือ Thunder ราคา 59,000 บาท และ Vapor ราคาเริ่มต้นที่ 57,000 บาท โดยตั้งเป้ามียอดขาย 24,000 คัน สำหรับปีนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 550 คัน/เดือน

อย่างไรก็ตาม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแรงสนับสนุนของนโยบายภาครัฐ การขยายตัวของสถานีชาร์จไฟฟ้า (EV Charging Station) และการใช้งานในภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Food Delivery บริษัทฯ ได้วางแผนกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก จะรุกเข้าตลาดมอเตอร์ไซค์น้ำมัน ซึ่งเป็นตลาดดั้งเดิม เพื่อตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐที่มีการตั้งเป้า Carbon Neutrality ไว้ และจะมีความร่วมมือกับภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดสังคมมอเตอร์ไซค์ EV โดย I-Motor จะมีการวางจุดบริการชาร์จไฟ I-Charger กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค โดยเริ่มต้นจากร้านผู้แทนจำหน่าย และขยายออกไปตามสถานที่ยุทธศาสตร์เรื่อยไปจนครอบคลุมการใช้งานของผู้ใช้

สำหรับปัจจบัน I-Motor มีโชว์รูมทั้งสิ้น 36 แห่ง ซึ่งภายในปีหน้าจะขยายเพิ่มเป็น 100 แห่ง รวมถึงในไตรมาส 4 ของปีนี้มีแผนการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อีกด้วย

ช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนกระตุ้นยอดขายผ่านการออกบูธในงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ อย่างต่อเนื่องรวม 5 งาน ได้แก่

1. Mini Motor Show 2025 ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-3 สิงหาคม 2568

2. 2025 Krungsri Auto Ultimate Test Drive & Ride ระหว่างวันที่ 16-17 สิงหาคม 2568

3. Big Motor Sale 2025 ณ ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 22-31 สิงหาคม 2568

4. Thai-China Cooperation Expo 2025 ณ Challenger Hall เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-5 สิงหาคม 2568

5. I-Motor’s Dealer Business Trip to Japan Mobility Show 2025 ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-5 พฤศจิกายน 2568

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก autoinfo.co.th

Bangchak เปิดตัวแอพพลิเคชันโฉมใหม่

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Changan ต้อนรับกรมศุลกากรมาบตาพุด ชูมาตรฐานโรงงาน "Green and Intelligent"

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความยานยนต์อื่นๆ

KIA เรียกคืนรถรุ่น Telluride กว่า 2 แสนคัน พบปัญหาเข็มขัดนิรภัย

กรุงเทพธุรกิจ

“เอ็มจี” ประกาศครึ่งปีขายกว่าหมื่นคัน

เดลินิวส์

สตช.ประกาศใช้ “ใบสั่งจราจรแบบใหม่” 3 รูปแบบ มีผลบังคับใช้ 4 ส.ค. 68

ฐานเศรษฐกิจ

ฉางอาน เล็งตั้งศูนย์ R&D ประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 12 รุ่นใน 3 ปี

ฐานเศรษฐกิจ

ZEEKR หวังขายทะลุ 3,000 คัน เสริมเอสยูวีไฟฟ้า 7X ราคากว่า 1.8 ล้านบาท

ฐานเศรษฐกิจ

โตโยต้าดัน GR สู่แนวหน้า มอเตอร์สปอร์ตไทย ลงนามตั้ง 6 ผู้แทน GR GARAGE

Manager Online

Bangchak เปิดตัวแอพพลิเคชันโฉมใหม่

autoinfo.co.th

มาสด้า จัดแคมเปญใหญ่ ซื้อรถลุ้นรถ มูลค่ารางวัลกว่า 1.8 ล้านบาท

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...