แนวทางใหม่ธุรกิจค้าปลีก กับความท้าทาย 'Climate Change'
ในอดีตเรื่องClimate Change อาจถูกมองว่าเป็นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่อยู่ห่างไกลจากธุรกิจ แต่ในปัจจุบันความรุนแรงและความถี่ของเหตุการณ์ ตั้งแต่น้ำท่วม ไฟป่า ไปจนถึงคลื่นความร้อน ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ต้องพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน
ข้อมูลจากรายงานRetail Strategy: Climate-Changed ของ WGSN และ Retailer Corporate Strategies in Sustainability โดย Euromonitor ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2000 ภัยพิบัติจากสภาพอากาศได้ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะลด GDP โลกลงถึง 22% ภายในสิ้นศตวรรษนี้
นั่นหมายความว่า สภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ถือเป็น "ความเสี่ยงทางธุรกิจ" ที่ทุกแบรนด์ต้องใส่ใจ
สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก ผลกระทบจาก Climate Change แสดงออกในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการจัดหาและเก็บรักษาวัตถุดิบ เช่น ผ้าฝ้ายที่แห้งเหี่ยว หรือ หนังสัตว์ที่เสียคุณภาพจากอุณหภูมิสูง ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อทั้งต้นทุน เวลาในการผลิต และคุณภาพของสินค้าโดยตรง
ไม่เพียงเท่านั้นพฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่กดดันธุรกิจให้ปรับตัว "ผู้บริโภครุ่นใหม่" มีความกังวลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ "ไม่เต็มใจจะจ่ายแพง" เพื่อซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับโลก ส่งผลให้แบรนด์ต้องคิดหาวิธีทำให้ความยั่งยืนเป็นมาตรฐาน โดยไม่ทำให้ราคาขายเพิ่มสูงขึ้น
ในภาวะเช่นนี้ ผู้ค้าปลีกชั้นนำทั่วโลกต่างเดินหน้าปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับ Climate Change โดยมีอยู่ 5 แนวทางหลักที่เห็นได้ชัด
1.) การดูแลสุขภาพของแรงงานในห่วงโซ่อุปทาน
บริษัทจำนวนมาก เช่น Target, KFC และ Walmart ได้ริเริ่มมาตรการรับมือกับความร้อน เช่น การปรับเวลาทำงาน การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคจากความร้อน ไปจนถึงการแจกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเย็นสำหรับพนักงานส่งของ เพื่อรักษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของบุคลากร
2.) การสนับสนุนผู้บริโภคในยุคของภัยพิบัติสภาพอากาศ
เมื่อภัยธรรมชาติเกิดถี่และรุนแรงขึ้น ผู้บริโภคเผชิญความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและสุขภาพจิต ธุรกิจค้าปลีกจึงเริ่มทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยเหลือชุมชน” มากกว่าผู้ขายสินค้า เช่น Walmart ที่มอบงบช่วยเหลือกว่า 750,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเปิดศูนย์แจกอาหารร้อนและบริการซักผ้าฟรีให้ผู้ประสบภัย
ขณะเดียวกันแบรนด์เทคโนโลยีอย่าง Google ก็ขยายระบบเตือนน้ำท่วม Flood Hub ครอบคลุมหลายประเทศ และ Zillow ให้ข้อมูลความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในประกาศขายบ้าน ช่วยให้ผู้บริโภควางแผนรับมือได้ดียิ่งขึ้น
3.) การใช้เทคโนโลยี AI ในการบริหารจัดการซัพพลายเชน
AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความสูญเสียจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ตัวอย่างเช่น MannyAI ที่ช่วยให้ผู้ผลิตเสื้อผ้าสามารถผลิตตามอุปสงค์จริง หรือ Walmart ที่ใช้ AI จาก Cropin เพื่อคาดการณ์ผลผลิตทางการเกษตรอย่างแม่นยำ
4.) การส่งเสริมทางเลือกที่ยั่งยืนแบบ “รู้สึกดี”
แม้ผู้บริโภคจะใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ข้อจำกัดด้านเวลาและต้นทุนยังทำให้การเลือกซื้อสินค้าอย่างยั่งยืนไม่แพร่หลายเท่าที่ควร แบรนด์ค้าปลีกจึงใช้กลยุทธ์ “ความยั่งยืนที่รู้สึกดี” (Feel-Good Sustainability) สร้างประสบการณ์เชิงบวกเพื่อจูงใจให้เลือกสินค้าที่เป็นมิตรกับโลก โดยไม่รู้สึกว่าต้องเสียสละ
Everlane ที่ออกแบบหน้าร้านให้แสดงต้นทุนการผลิตของสินค้าแต่ละชิ้นอย่างโปร่งใส ทั้งค่าวัตถุดิบ ค่าแรง และค่าขนส่ง ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วมกับจริยธรรมของแบรนด์ หรือ Sephora ใช้แคมเปญ #ProjectPan กระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดก่อนทิ้ง พร้อมมีจุดรับคืนบรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางในร้าน ส่งเสริมแนวทางลดขยะอย่างเป็นรูปธรรม
5.) การใช้โซลูชันต้นทุนต่ำและเทคโนโลยีต่ำ (Lo-Fi Solutions)
แนวคิดการออกแบบเรียบง่ายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัสดุเหลือใช้จากเกษตรกรรมมาสร้างเป็นโครงสร้างหน้าร้าน (กรณี Furf Design Studio) หรือร้านค้าแบบโมดูลาร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางความยั่งยืนได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง
นอกจากจะกระทบต่อค้าปลีกโดยตรง แนวโน้มการปรับตัวต่อ climate change ยังส่งแรงสะเทือนไปสู่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ตั้งแต่นักออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ต้องคิดถึงการรีไซเคิลตั้งแต่ต้นทาง ไปจนถึงนักพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องคำนึงถึงคาร์บอนฟุตพริ้นท์ สุดท้ายแล้ว Climate Change ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นความท้าทายที่อยู่ตรงหน้า และเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่กล้าปรับก่อน