‘แอน มิตรชัย’ รับตรงๆ ชีวิตเปลี่ยนเพราะป่วย SLE ร่างกายทรุดจนทำงานไม่ได้ แต่ใจสู้ขอใช้ชีวิตเพื่อธรรมะ!
เรียกได้ว่าห่างหายจากวงการพักใหญ่ สำหรับนางเอกลิเกสาวอย่าง ”แอน มิตรชัย“ ที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดใจถึงสาเหตุที่หายไปจากหน้าจอ โดยเธอเผยถึงอาการป่วยหนักด้วยโรค SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) จนต้องหยุดงานทุกอย่าง และกลับมาดูแลรักษาตัว ซึ่งหลังจากหลายคนได้ทราบข่าว ก็พากันเป็นห่วง รวมถึงด้านครอบครัวของเธอที่ห่วงและส่งกำลังใจให้เสมอนั้น
ล่าสุดในงานแถลงข่าวงานวิ่งการกุศล "ก้าวด้วยธรรม" ครั้งที่ 9 ประจำปี 2568 เธอได้ควงลูกชาย “เบส อารยะ” มาร้องเพลงด้วยกันในงานดังกล่าว พร้อมทั้งอัปเดตอาการป่วยที่เป็นอยู่
โดย แอน เผยว่า “สำหรับพักหลังที่หันมาเป็นสายมู ไปปฏิบัติธรรม คือเราป่วยด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลแรกที่เราเริ่มตระหนักรู้ถึงความไม่แน่นอนในหลายๆ อย่าง อย่างที่สองเราได้เรื่องทูตสันติภาพด้วย เกี่ยวกับศิลปินผู้ใช้ศิลปะสร้างสันติภาพ รวมถึงได้ทูตวัฒนธรรมของ AOL ก็เลยมาทำเกี่ยวกับเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทำตรงนี้เกี่ยวกับรัฐบาลแต่ละที่ ก็เลยกลายเป็นว่างานมันตีกรอบให้เราทำงานเดินสายอยู่แต่ในงานแบบนี้ แล้วโลกมันเป็นแบบนี้ยุคสมัยนี้แล้วเนาะมันก็เลยจะตีกรอบให้เราเจองานแบบนี้อยู่ตลอด ก็เลยเห็นเราร้องเพลงธรรมะออกงานธรรมะ
ส่วนเรื่องอาการป่วยโรคของ SLE (โรคแพ้ภูมิตัวเอง) คือมันเป็นโรคที่ไม่หายขาด เพียงแต่ว่ามันสงบเป็นช่วงๆ มันขึ้นอยู่กับการพักผ่อน แล้วเราก็ต้องพบแพทย์ตามที่หมอนัด ที่สำคัญคือเรื่องของทำงาน เมื่อก่อนเราทำงานเป็นหลัก เราหนักเกินไป เราไม่ได้ฟังร่างกายเลย แต่ในปัจจุบันเราต้องเอาร่างกายของเราเป็นใหญ่ และการทำงานในวงการบันเทิงเราก็ต้องทำเพราะว่าเรายังรัก ซึ่งเราทำงานตั้งแต่ห้าขวบเราไม่ได้พักตั้งแต่ 30 ปี จนเราค่อยๆ ตีตัวออกไปประเทศอินเดียนี่แหละ นี่คือช่วงที่ได้ไปเริ่มต้นอะไรใหม่ ได้พักบ้าง นั่นคือช่วงแรกของชีวิตที่ได้พัก
แล้วที่เคยบอกว่าถ้าไม่หายจากโรคนี้จะไม่กลับมาที่ไทย คือมันเป็นคาบเกี่ยวตอนที่เปิดอัลบั้มที่นู่น แต่พอหลังจากโควิดเราก็ไม่ได้กลับเลย เพราะว่าอาการมันเริ่มหนักขึ้น หลังจากที่ทำลิเกเดอะมิวสิกเคิล ซีซั่นสอง ในปี 2018 ตอนนั้นคือแย่จริงๆ แล้ว แล้วเราไม่สามารถทำงานต่อได้ โดยเฉพาะงานที่เซ็นสัญญาแล้ว งานที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องกลับกลางคัน คือเราทำงานให้ใครไม่เสร็จเลย งานของผู้ใหญ่ที่อเมริกาที่ทำงานวัฒนธรรมด้วยกัน ก็ไปถ่ายทำที่สุโขทัยกับเก่ง ธชย ด้วย ก็ถ่ายไม่เสร็จ เพราะเราไม่สบายตลอด เพราะฉะนั้นการทำงานเลยไม่มีคุณภาพ แล้วเราเกรงใจ เพราะเราเป็นคนสร้างงานด้วย เรารู้ว่าเพราะงานมันออกมาแบบนี้เราเกรงใจไปหมดเลย“
แอน เล่าต่อว่า ”ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็น่ารักมากๆ ส่งเราให้ถึงไทยให้กลับมาดูแลตัวเองก่อนดีกว่า เพราะเขาก็เห็นสภาพเราว่าไม่ไหว คือมันบวมมาก ด้วยอาการที่เราต้องใช้สเตียรอยด์ ผลข้างเคียงจากยาหลายตัว ซึ่งยาประจำที่เคยใช้ตอนช่วงร่างกายอ่อนแอมากๆ ก็แพ้ จนขึ้นผื่นไหม้ และสาเหตุที่เราไม่ได้ใส่เสื้อเหมือนคนอื่นเขาก็เพราะว่ามันยังเป็นช่วงที่เรายังต้องให้ยา และมันมียาบางตัวที่ส่งผลให้ผิวเราไม่ดี บางทีขึ้นมาถึงคอก็มี ก็เลยจำเป็นที่จะต้องแต่งแบบนี้อยู่ตลอด ถามว่ามันทำให้เราเสียความมั่นใจไหมเพราะว่าเมื่อก่อนเราทำงานอย่างเต็มที่ คือมันมากกว่าเสียความมั่นใจ มันเหมือนเราเสียชีวิตเก่าไปเลย
คือเราต้องเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่เราเป็น เราได้ยินฝังหัวมาตลอดว่ามันไม่หาย ถึงแม้ว่าคนจะพูดว่าเดี๋ยวนี้การแพทย์เก่งแล้ว มันก็รักษาได้เฉพาะบุคคล มันไม่ได้หายทุกคน ดังนั้นเราก็ต้องไปเรียนรู้ถึงคนที่เป็น ใครที่เป็นแล้วเขาหาย เขาปฏิบัติตัวอย่างไร แต่เราตัดใจแล้ว หายไม่หายก็ช่าง ตายก็ช่าง แต่ถ้าเรากลับมายืนได้หรือเรายังมีชีวิตต่อ สำหรับเราคือพรทั้งหมด ถือว่าทุกวันในชีวิตมันเป็นพรที่เรายังได้ชีวิตอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่ได้หวือหวาเหมือนช่วงเมื่อก่อนที่เรายังเป็นเด็ก
แล้วชีวิตช่วงนี้อยู่เหมือนบวชเลย ทานอาหารก็ทานได้มื้อสองมื้อ เพราะต้องคุมอาหารด้วย เพราะว่าเป็นกรดไหลย้อน เป็นโรคกระเพาะ มีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง ก็จะได้น้องเบสที่จะคอยอยู่ในช่วงที่เราสาหัส ลูกก็จะอยู่ในจุดที่เราทุกข์ด้วยกันมา เราผ่านจุดนั้นด้วยกันมา น้องเบสก็เลยโตเร็ว เพราะว่าเหมือนได้เห็นแม่ เหมือนช่วงที่กลับจากเนปาล เขาก็เป็นคนเข็นเราไปโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่าไข้มัน 39 มันจะช็อกอยู่แล้ว คือเราก็ติดเชื้อง่ายด้วย อย่างเราไปเพราะอากาศร้อนหน่อย ผิดอากาศ ผิดที่ ก็ต้องพักให้ดี จัดตารางดีๆ อย่างสามวันทำงาน ต้องพักกี่วัน ทำติดๆ กันไม่ได้“
แอน ได้เผยต่อว่า ”คือลูกเป็นคนเดียวที่อยู่กับแอนได้ อย่างแม่บ้านจะมาทำกับข้าวเสร็จแล้วก็กลับ ซึ่งน้องจะเป็นคนจัดโต๊ะดูแลต่างๆ ซึ่งเราจะเป็นคนที่ชอบอยู่สมถะ อยู่คนเดียว เขาจะนั่งสมาธิภาวนาตลอด เพราะบางวันอาการก็ไม่ได้ดีทุกวัน บางวันตื่นมามันตื่นมาพร้อมกับอาการเพลียที่ประหลาด เราก็ต้องบอกเบสว่า มาเฝ้าแม่หน้าห้องน้ำหน่อย มันมีอาการเป็นคล้ายๆ แบบนั้น เราก็กลัวเราวูบ แล้วเราเคยเป็นผื่นขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว แล้วก็หายใจไม่ออก ลูกก็จะอยู่ด้วยตลอด แต่เราก็จะบอกคนรถไว้ตลอดว่าสแตนด์บายนะ ถ้าเกิดว่าเรามีอาการยังไงเราก็ต้องคอยบอกคนรอบข้าง เพราะเขาไม่รู้หรอก บางทีเรานั่งเงียบๆ ไป ลูกก็จะสังเกตแล้วว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่า
แล้วแอนก็ทราบว่าทุกคนในครอบครัวเป็นห่วง แล้วเพิ่งรู้หลังจากที่เป็นข่าว แต่คุณแม่แอนจะบอกตลอด แต่ไม่ได้พูดตรงเพราะว่าคุณแม่ก็จะไม่ได้เข้าใจว่าโรค SLE คืออะไร ทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาลคุณแม่ก็จะรู้ เพราะเราบอกทุกครั้ง ส่วนพี่เอ มิตรชัย หลังหลังจะไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ เราจะติดต่อผ่านทางคุณแม่ เพราะแอนอยู่ภูเก็ต ลูกเรียนที่โน่น ก็เท่ากับว่าเรามีครอบครัวและหน้าที่ที่ต่างคนต่างดูแลกัน แต่ตอนนี้รู้แล้วแหละ เราก็ฝากบอกแม่ไปแล้วก็ส่งข้อความไปหาพี่เอ๋ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง
ส่วนช่วงตอนที่น้องเบสเรียน ก็จะมี “คุณมีอา” ลูกพี่ลูกน้องอยู่ด้วย แอนจะไม่ได้อยู่คนเดียว ก็จะมีคนอยู่ด้วยตลอดเพราะว่า เราเป็นโรคภัยแบบนี้ เราเรียนรู้ถึงความไม่ประมาท มันไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้นเราถึงบอกว่าอะไรที่ทำได้ในตอนนี้ สิ่งที่มันเป็นผลงานมันก็จะยังคงอยู่ ถ้าวันนึงเราเกิดเป็นอะไรคนก็จะลืมเราง่ายมาก แต่สิ่งที่เราทำเอาไว้มันก็จะยังคงอยู่ กับ เรียกได้ว่าในชีวิตนี้ทุ่มเทให้กับสายธรรมะเลย เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันไม่แน่นอน และคิดว่าทุกคนคงติดภาพแอนในแบบนี้แล้วในตอนนี้ แต่ถ้าถามว่าทำงานเซ็กซี่ได้อยู่ไหม แอนคิดว่างานก็คืองาน เดี๋ยวถ้าเราดีขึ้น คุณหมอสั่งคอนเฟิร์มในช่วงที่ร่างกายมันคงที่ก็ลุยงาน“
แอน เผยถึงเรื่องของลิเกว่า ”ส่วนโอกาสที่จะได้กลับมาเห็นเราเล่นลิเกอีกครั้ง คนถามเยอะมาก เรารักการเล่นลิเกมาก เพราะนั่นคือชีวิต แล้วการจากไปมันก็การจากไปที่ยังรักอยู่ หมายความว่าเราเลือกสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ เราไปทำงานอินเดียมันเริ่มนับใหม่ มันคือชีวิตใหม่ที่เราต้องไปนับศูนย์ เราต้องไปเรียนรู้วัฒนธรรมศิลปะบ้านเขา ดังนั้นแล้วการที่ถามว่าจะกลับมาเล่นลิเกได้ไหม แอนไม่ได้ทิ้งไปเสียทีเดียว แอนยังเล่นอยู่ปีละครั้ง อย่างที่เราทำเดอะมิวสิกเคิลซีซั่นหนึ่งกับสอง แอนก็ชัดเจนว่าแอนทำกับครอบครัว เราทำให้ครอบครัว แต่ทีนี้ถ้าเรามีโอกาสในปีหน้าฟ้าใหม่ แอนก็อยากทำแบบนั้น แต่ถ้าจะให้ไปเดินสายเล่นปิดวิกเหมือนเมื่อก่อนทุกวันแบบนั้นก็ไม่ไหวแล้ว เราต้องรักษาสุขภาพ แต่ว่าแอนจะมีเดอะมิวสิกเคิลที่เป็นเกี่ยวกับงานสันติภาพปีหน้านี้
ก็อยากจะขอบคุณทุกกำลังใจตั้งแต่ออกข่าวไป ก็ไม่คิดว่าจะมีกำลังใจส่งกันมาเยอะมาก รวมถึงพี่ๆ สื่อมวลชน แอนก็ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมา แล้วขอส่งกำลังใจย้อนกลับไปให้คนที่เป็นโรคเดียวกัน รวมถึงคนที่เป็นโรคประจำตัว คือมันไม่สนุก มันเป็นโรคอะไรก็แล้วแต่มันเบียดเบียนให้เราไม่ปกติ ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้ก็คือจิตใจ ดังนั้นแล้วในยุคนี้ คนปกติก็ไม่ใช่ว่าจะปกติ เพราะเหตุการณ์อะไรต่างๆ ที่มันรายล้อมอยู่รอบตัวเรา ดังนั้นแอนก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่ทำได้ก็คือการควบคุมจิตใจตัวเองให้คงที่ เพราะว่าเราไม่มีวันรู้ว่าเราจะจากโลกไปวันไหน แต่สิ่งที่เรารู้ปัจจุบันว่าเราทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นสิ่งที่เราทำไว้มันก็จะปกป้องตัวเราทั้งหมด แอนจึงบอกว่าแอนใช้หลักธรรมะภาวนา วันไหนที่เจ็บปวดทรมานจากการให้ยา หรืออะไรก็แล้วแต่ ภาวนาเท่านั้นที่จะช่วยให้ผ่านวันนั้นๆ ไปได้ เพราะแต่ละวันมันเป็นวันที่ยาวนาน ก็เป็นกำลังใจให้ และขอบคุณที่ยังรักแอน ยังรักของหงษ์ฟ้า และยังจำบทเพลงของแอนได้ในทุกที่ ขอบคุณมากๆ ค่ะ“
เบส เผยว่า “ ตอนที่แม่ไม่สบายผมก็ทำทุกอย่างเลยครับ พาแม่เข้าโรงพยาบาล จ่ายค่ายา ให้แม่กินยาตรงเวลา ดูแลกิจวัตรประจำวันของคุณแม่ ส่วนสำหรับงานเดอะมิวสิกเคิลที่เกี่ยวกับงานสันติภาพในปีหน้าของคุณแม่ ก็จะไปเล่นแน่นอนครับ ก็ได้เลือดคุณแม่มาเลย ถามว่าต้องฝึกอะไรเพิ่มเติมไหม คือจะมีคุณแม่คอยสั่งสอนเวลาเราร้องตรงไหนก็ให้คุณแม่ติง ว่า ตรงนี้ดีตรงนี้ไม่ดีครับ ก็มีการฝึกซ้อมทุกวันจันทร์ยาวไปถึงศุกร์ครับ”