ไทย-อียู เจรจาเอฟทีเอ รอบ 6 ปิดจบ 3 ข้อบท เดินหน้าถกรอบ 7 ที่บรัสเซลล์
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ว่าการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย–สหภาพยุโรป (EU) รอบที่ 6 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 27 มิ.ย. 2568 ณ กรุงเทพฯ ยังคงมีความคืบหน้าที่ดี เป็นไปในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง
โดยสามารถสรุปในหลักการเพิ่มเติมได้อีก 3 บท ได้แก่
1. บทการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน (Trade and Sustainable Development: TSD) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน และสังคมที่เกี่ยวข้องกับการค้า
2.บทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) เน้นการเผยแพร่ข้อมูลกฎระเบียบและมาตรการทางการค้าเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและครบถ้วน
3.บทอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Technical Barriers to Trade: TBT) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า ลดอุปสรรคจากกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น
สำหรับกลุ่มเจรจาอื่น ๆ ก็มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการเปิดตลาดการค้าสินค้า รวมถึงแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอการเปิดตลาดการค้าบริการและการลงทุน พร้อมกำหนดงานของแต่ละกลุ่มที่จะต้องดำเนินการระหว่างรอบ ก่อนการเจรจารอบที่ 7 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ก.ย. – 3 ต.ค. 2568 ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
นายพิชัย กล่าวว่า ทั้งไทยและ EU ต่างมีความพึงพอใจกับความคืบหน้าในรอบนี้ โดยเฉพาะบท TSD ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญอย่างยิ่ง สอดคล้องกับนโยบายสีเขียว (European Green Deal) ของ EU และนโยบายของไทยที่มุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม แรงงาน และสังคม โดยไม่ใช้เป็นมาตรการกีดกันทางการค้า อีกทั้งยังเป็นไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มการค้าโลกที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ SMEs สามารถเข้าถึงข้อมูลกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสในการใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ได้มากขึ้น
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกที่มีความไม่แน่นอน ไทยและ EU จึงเน้นย้ำความสำคัญของการเป็นพันธมิตรทางการค้าที่เชื่อถือได้และสามารถคาดการณ์ได้ พร้อมเดินหน้าเร่งเจรจา FTA ไทย-EU ให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด ตามที่รัฐมนตรีได้หารือกับนายมารอส เซฟโควิช กรรมาธิการด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของ EU เมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ระหว่างการเข้าร่วมการประชุมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ณ กรุงปารีส สอดคล้องกับนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นการขยายโอกาสทางการค้า หาตลาดใหม่ในต่างประเทศ และดึงดูดการลงทุนมายังประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น
โดยในช่วงเดือนม.ค. – พ.ค. 2568 EU เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยมีมูลค่าการค้ารวม 18,092.23 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น0.57 %จากช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยไทยส่งออกไปยัง EU มูลค่า 10,696.81 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.86 %และนำเข้าจาก EU มูลค่า 7,395.41 ล้านดอลลาร์ ลดลง 9.40 %ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้ากับ EU มูลค่า 3,301.40 ล้านดอลลาร์