อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ทำหนังผีสะท้อนคน เล่าชีวิตใหม่หลังผ่านวิกฤตสุขภาพ
‘อ๊อฟ’ ทำหนังผีสะท้อน ‘คน’ เล่าชีวิตใหม่หลังผ่านวิกฤตสุขภาพ มองการเปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงคือ สัจธรรม
“ทุกคนมีปอบในตัว” อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เปิดใจเบื้องหลัง ‘ห่าก้อม’ หนังผีที่ผู้กำกับมากฝีมือย้ำหนักแน่นว่าไม่ใช่แค่เรื่องของผี แต่เป็นการเล่าเรื่อง ‘คน’ ผ่านตำนานพื้นบ้านและความเชื่อของคนอีสาน ภาพยนตร์ผลงานล่าสุดที่กำลังโลดแล่นอยู่ในโรงภาพยนตร์ในขณะนี้ให้ฟังว่า
“ห่าก้อมมันคือคนมีวิชา ปลอมตัวเป็นใครก็ได้ เป็นสัตว์อะไรก็ได้ มีฤทธิ์เยอะและตายยาก ถ้าตายก็เฮี้ยนอีก” อ๊อฟเล่าอย่างจริงจัง “แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำผิด ชั่ว มันย่อมแพ้ภัยตัวเอง ไม่มีอะไรอยู่ยั่งยืน โลกนี้มันมีเกิด ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป”
‘ห่าก้อม’ กลายเป็นสัญญะในหนัง ที่สะท้อนการกล่าวหาโดยไร้การพิสูจน์ในสังคม
“ถ้ายุคนี้ก็คือโซเชียล สังคมที่พร้อมกล่าวหากันตลอดเวลา แต่ไม่พิสูจน์ว่าคุณเป็นหรือเปล่า ถ้าคุณอยู่ไปเรื่อยๆ แล้วคุณเคลิ้มตามสิ่งที่ผิด มึงปอบนะ ระวังเจอปอบในตัวเอง”
หากจะพูดว่าเป็นหนังผีที่เล่าเรื่องของคน นั่นก็ใช่ แต่กระนั้นหลักนึงของการทำภาพยนตร์สิ่งแรกคือความสนุกสนานต้องมาก่อน แล้วสอดแทรกด้วยเนื้อหาสาระที่ต้องการจะส่งต่อ
“เพราะฉะนั้นผมต้องทำให้ตกใจ ต้องหลอก สะพรึงขวัญแน่นอน ความสนุกของหนังผีก็คือตรงนี้ อันดับหนึ่งต้องมาคือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ อันดับสองคือสิ่งที่สอดแทรกอยู่ข้างใน เนื้อหาสาระที่อยู่ในเรื่องนี้”
เมื่อถามถึงการตีความตำนานแบบไทยๆ ให้คนต่างประเทศเข้าใจ อ๊อฟย้ำว่า “เราไม่ได้ทำสารคดี เราเล่าแบบเอ็นเตอร์เทน เรื่องที่เป็นตำนานเราก็แต่งเติมเพื่อความสนุก แต่ต้องรีเสิร์ชจริงจัง ใส่คัลเจอร์ลงไปจริงๆ เพื่อให้สมจริงและเคารพขนบธรรมเนียมแต่ละภาค”
ทั้งนี้ กับการที่ได้ จิ๋ม-กุณกนิช คุ้มครอง มารับบท “ยายพร” หญิงแก่ผู้ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นปอบ อ๊อฟก็เผยว่า เป็นคนหนึ่งที่ร่วมงานกันมาหลายเรื่องจนมั่นใจในฝีมือการแสดง
“เขาเล่นจนกลัวตัวเอง ขับรถกลับไม่กล้ามองกระจกหลัง” อ๊อฟเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ
“สองคำพูดที่คนดูต้องจำให้ได้คือ ‘กูตายไปไม่ต้องเผานะ ขี้เกียจเกิด’ กับ ‘ชาติหน้าฉันใดอย่าเป็นคนจนให้เขาดูถูกอีก’ นั่นคือแก่นในใจยายพร”
“ในแง่ของการเตรียมงานเราก็อ่านบทกัน ประโยคนี้มันพูดออกมาเพราะอะไร เราตีความแต่ละประโยค ทุกคำพูดของตัวละครเรื่องนี้มันมีความหมายหมด”
ในฐานะคนทำหนัง อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ก็ว่า “หวังนิดนึง แต่หน้าที่เราคือทำให้ดีที่สุด ที่เหลือคือของคนดู เพราะเขาต้องจ่ายเงิน”
“สำหรับผม ผมชอบ แต่ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
ทั้งนี้ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ยังเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่พลิกผันหลังเป็นสโตรก จนต้องกายภาพบำบัดยาวนานกว่า 7 ปี และมองโลกในมุมใหม่ โดยเริ่มจากอัพเดตอาการ ณ ปัจจุบันที่กลับมาทำงานได้เต็มที่อีกครั้งว่า
“ทุกวันนี้เดินได้ พูดได้ แขนยังอ่อนหน่อย แต่เราออกกองได้แล้ว งานทำให้เราอยู่กับสังคม ออกนอกบ้านได้”
จากแรกเริ่มที่ไม่มีแรงเลย ก็ต้องไปทำกายภาพบำบัด “อาการของโรคนี้คือไม่มีแรง กล้ามเนื้อส่วนนึงหายไปเลย ประสาท สมองส่วนที่ควบคุมด้านนี้เสียหาย อาการที่ตามมาสิ่งแรกคือห้อย ไม่มีแรง อย่างที่สองคือค่อยๆ เริ่มเกร็ง ถ้าคุณไม่รักษามันก็คงอยู่ มันถึงมีศาสตร์ของการกายภาพบำบัด”
ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่เป็นสโตรก ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากแนะนำความรู้ไปบอกต่อให้กับคนได้เยอะมาก นั่นคือ “โรคนี้ถ้าคุณทำกายภาพบำบัดถ้าคุณต่อสู้กับมัน มันดีขึ้นทุกวัน บางคนเล่นนิดเดียวแล้วคุณจะท้อ แต่จงเชื่อเถอะว่าหนึ่งปี ทุกคนบอกดีขึ้น อีกปีคนทักพูดเป็นภาษาคนได้แล้ว มันมาจากการที่เราฝึก พี่แดง (ธัญญา วชิรบรรจง) ภรรยาผมบอกทุกวันให้บริหารปาก บางทีเราลืม เขาก็เตือนทุกวัน”
รวมถึงการต้องก้าวผ่านความรู้สึกเมื่อต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งสำหรับตนนั้นใช่เวลา 3 วันในการหาคำตอบของสิ่งนี้
“ตอนเป็นวันแรก พูดคำเดียวกับตัวเองในใจว่า ‘เสร็จมัน’ แล้วผมบอกลูกเลยว่า ‘พ่อไปละ’ เพราะจะตายหรือเปล่าไม่รู้”
สาเหตุที่เกิดสโตรกคือ 5 ข้อหลัก ทั้งความดันสูงไม่กินยา, ทานอาหารมันเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนออกกำลังกาย, นอนน้อย, เครียดสะสม และดื่มน้ำน้อย กินแต่กาแฟเพราะคิดว่าทดแทนกันได้ ซึ่งทั้งหมดเกิดจาก “ความถือดี”
“พอรอดตื่นมา เหลือบไปเห็นหน้าเมีย ผมก็ขอโทษเขา คือจริงๆ แค่สาเหตุเดียวคนเขาก็เป็นแล้ว แต่ผมครบเลย มันไม่แปลกหรอกที่บอกว่าขอโทษ เพราะทั้งหมดเกิดจากตัวเองล้วนๆ”
หลังจากนั้นก็ขอเวลาไปรักษาตัวอยู่ 1 ปีเต็ม เป็นคนป่วยได้อย่างสบายใจ ก่อนจะกลับมาทำงานอีกครั้ง พร้อมทั้งฝากข้อคิดถึงคนที่ใช้ชีวิตหนักหน่วงแบบตนในอดีตไว้ว่า
“การป่วยไม่ใช่แค่คุณคนเดียว ครอบครัวคุณก็ป่วยไปด้วย เพราะฉะนั้นรีบรักษาให้ดีขึ้นเร็วที่สุด”
นอกจากนี้ ก็เล่าถึงชีวิตที่ยังคงขับเคลื่อนงานในวงการบันเทิงด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแพชชั่น และความเข้าใจในธรรมะที่ช่วยหล่อเลี้ยงใจให้ไม่ยึดติดกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
“แพชชั่น สำหรับผม มันคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาทุกวัน ผมอาศัยงาน อาศัยการกายภาพบำบัด หรือแม้แต่การออกจากบ้าน เพื่อเข้าสู่สังคมภายนอก”
อ๊อฟเล่าถึงพลังที่ผลักดันให้เขายังยืนอยู่แถวหน้าในวงการ ทั้งที่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงมากมาย
“ผมฝึกเดินจากหน้ามอนิเตอร์ไปหน้าเซต ไป-กลับ เหมือนฝึกเดินขึ้นเขา ทีมงานเคยจัดให้ปีนจริงๆ ก็ทำมาแล้ว”
เมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการบันเทิงที่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนทั้งแพลตฟอร์ม คนดู และเทคโนโลยี เจ้าตัวก็ว่าไม่ได้รู้สึกหวั่นไหว เขามองทุกสิ่งด้วยความเข้าใจและยอมรับตามหลักของธรรมะ
“ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป เป็นธรรมดา เราผ่านยุคบอกบท มาอนาล็อก ดิจิทัล จนถึงวันนี้ที่ทีวีกลายเป็นเครื่องประดับบ้าน มันก็ไหลไปตามเทคโนโลยี”
เขาย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การฝืนวิถีโลก แต่คือการปรับตัวให้เหมาะกับยุค “ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็หาคนอื่นทำ คอนเทนต์คุณจะไปออกกี่แพลตฟอร์มผมไม่สนใจ ความจริงอย่างนึงคือคุณต้องใช้คอนเทนต์ผมแน่นอน”
สำหรับการทำงานในยุคที่บัดเจ็ตน้อยลงจากอิทธิพลของโซเชียลมีเดียและการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ชม เขายอมรับว่า “มันส่งผลให้คุณภาพลดลงบ้าง แต่ก็มีทางรอดคือสตรีมมิ่ง ซึ่งยังต้องการคอนเทนต์ดีๆ อยู่”
เมื่อพูดถึงความทุกข์จากสภาพวงการในปัจจุบัน เขาตอบอย่างหนักแน่นว่า “จะทุกข์ไปทำไม ทุกข์มันมีประโยชน์อะไร ไปหาอย่างอื่นทำก็ได้ ดาราหลายคนก็หันไปขายของ ขายหมูปิ้ง ไก่ย่าง”
และยังฝากแง่คิดถึงสังคมออนไลน์ที่ชอบตีตราศิลปินเพราะอาชีพเสริมว่า “ใช้คำว่า ‘พระเอกคนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว’ คือจะสื่ออะไร เขากำลังทำมาหากินอยู่ต่างหาก”
“มันคือสิ่งที่ถูกต้อง อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ทำหนังผีสะท้อนคน เล่าชีวิตใหม่หลังผ่านวิกฤตสุขภาพ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th