เกมภูมิรัฐศาสตร์ กองทัพคะฉิ่นกุมชะตาแร่หายาก ป้อนอุตสาหกรรมโลก
จากกองกำลังที่ต่อสู้ในเงามืดมานานหลายทศวรรษ ปัจจุบันองค์กรปลดปล่อยคะฉิ่นได้กลายเป็นผู้กุมแหล่งแร่สำคัญที่หล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ณ เมืองปันวา (Pangwa) ในหุบเขาเล็กๆ เลียบชายแดนเมียนมา-จีนที่ทอดยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ท่ามกลางยอดเขาที่ปกคลุมด้วยป่าไม้และมีหิมะโปรยปรายในบางครา
พื้นที่แห่งนี้เคยเปรียบเสมือนด่านหน้าอันห่างไกลที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนศึกสูงวัยซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลทหารเมียนมา
ขุนศึกผู้นี้ปกครองปันวาตามอำเภอใจ มีการลักลอบตัดไม้มีค่าส่งข้ามพรมแดน และปล่อยให้ชาวบ้านปลูกฝิ่นได้ ตราบใดที่ยอมจ่ายภาษีอย่างหนักให้แก่ตน
ทว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปในช่วงกลางทศวรรษ 2010 เมื่อคลื่นแรงงานจากจีนตอนใต้หลั่งไหลเข้ามาเพื่อขุดหา 'แร่หายาก' (Rare Earths) ทรัพยากรล้ำค่าที่เป็นหัวใจของเทคโนโลยียุคใหม่หลายแขนง ด้วยคุณสมบัติเด่นด้านแม่เหล็กและการนำไฟฟ้า
พวกเขาเปลี่ยนภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นขั้นบันไดเพื่อสร้างบ่อชะล้างแร่ ซึ่งในเวลาไม่นานก็กลายเป็นแอ่งน้ำขุ่นข้นสีฟ้าครามที่ปนเปื้อนไปด้วยสารเคมีและโคลนดิน
และท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้เอง เมืองชายแดนเล็กๆ ก็กลับเฟื่องฟูขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับการพนันและยาเสพติดที่แพร่สะพัดไปทั่ว
สถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อต้นปีที่แล้ว เมื่อกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) เปิดฉากปฏิบัติการรุกครั้งใหญ่
ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมากว่า 7 ทศวรรษ ระหว่างรัฐบาลทหารกับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
สำหรับ KIA นั้นก่อตั้งขึ้นในปี 1961 เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองของชาวคะฉิ่น พวกเขาได้สั่งสมกำลังพลจนกลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งและมีความเชี่ยวชาญในการสู้รบบนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง
ภายในเดือนตุลาคม KIA รุกคืบเข้าใกล้เมืองปันวาอย่างต่อเนื่องโดยแทบไม่เจอแรงต้าน กองกำลังทหารที่ภักดีต่อรัฐบาลทหารเลือกที่จะล่าถอยหลังการปะทะเพียงเล็กน้อย
บางส่วนทิ้งอาวุธลงในคูระบายน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดพลเรือนเพื่อแฝงตัวไปกับฝูงชนผู้อพยพที่มุ่งหน้าไปยังชายแดนจีน
ในที่สุด วันที่ 18 ตุลาคม เมืองปันวาก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ KIA
หากวัดกันที่จำนวนผู้เสียชีวิต ชัยชนะครั้งนี้อาจดูไม่สลักสำคัญ แต่หากวัดกันที่ "ขุมทรัพย์ใต้พิภพ" นี่คือหนึ่งในชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ของ KIA เลยทีเดียว
ความสำคัญที่โลกต้องจับตา
เมียนมาเป็นแหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากจีนและสหรัฐอเมริกา และในปีที่แล้ว เมียนมามีสัดส่วนการผลิตแร่หายากที่สำคัญอย่างยิ่งยวด 2 ชนิด เกือบครึ่งหนึ่งของโลก
นั่นคือ ดิสโพรเซียม (Dysprosium) และ เทอร์เบียม (Terbium) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ใน ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), กังหันลม และยุทโธปกรณ์บางชนิด
ข้อมูลจาก Adamas Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในภาคอุตสาหกรรม ระบุว่า
เมียนมามีบทบาทที่ "สำคัญอย่างยิ่งยวดและแทบหาใครแทนไม่ได้" ในฐานะผู้ป้อนวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีมูลค่ามหาศาลระดับล้านล้านดอลลาร์
ห่วงโซ่อุปทานดังกล่าวเชื่อมโยงโดยตรงกับผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ขณะที่องค์กรเฝ้าระวังอย่าง Global Witness เพิ่งเปิดเผยข้อมูลว่า
บริษัทจีนหลายแห่งที่เข้าไปทำเหมืองแร่หายากในเมียนมานั้น มีลูกค้ารายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Ford, Hyundai, Siemens, Tesla, Vestas และ Volkswagen
ปัจจุบัน เหมืองแร่หายากเกือบทั้งหมดในเมียนมาตั้งอยู่ในรัฐคะฉิ่น โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่รอบเมืองปันวา และตอนนี้ดูเหมือนว่า KIA จะเข้าควบคุมเหมืองทุกแห่ง
ซึ่งหมายความว่า KIA ได้กลายเป็นผู้ควบคุมดูแลแรงงานนอกระบบจำนวนมหาศาลที่ต้องทำงานสกปรกและอันตรายโดยไม่มีการป้องกันใดๆ
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้นำ KIA จะได้นั่งในโต๊ะเจรจาเศรษฐกิจระดับโลกในเร็ววันนี้ เพราะจีนยังคงเป็นผู้ผลิตและผู้แปรรูปแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่างทิ้งห่าง
KIA ไม่มีศักยภาพในการแปรรูปแร่ที่ขุดได้ในพื้นที่ของตนเอง ทั้งหมดจึงต้องถูกส่งไปยังโรงงานในจีนเพื่อถลุงและแปรรูปก่อนจะส่งต่อไปยังผู้ผลิตทั่วโลก
ทำความรู้จัก "แร่หายาก" และวิธีการสกัดสุดอันตราย
แม้จะชื่อว่า "แร่หายาก" แต่ธาตุเหล่านี้ไม่ได้หายากขนาดนั้น ธาตุที่พบมากที่สุดอย่างซีเรียม (Cerium) มีปริมาณในเปลือกโลกพอๆ กับทองแดงหรือตะกั่ว
แต่ความแตกต่างคือ แร่หายากมักจะปนอยู่กับแร่ธาตุอื่นๆ ในความเข้มข้นต่ำ ทำให้การทำเหมืองเพื่อให้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องยาก
การใช้งานที่สำคัญที่สุดของ ดิสโพรเซียม และ เทอร์เบียม คือการเป็นส่วนผสมใน แม่เหล็กนีโอไดเมียม (Neodymium magnets) ซึ่งเป็นแม่เหล็กถาวรที่ทรงพลังที่สุดในโลก
แร่ทั้งสองชนิดนี้ช่วยให้แม่เหล็กสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิที่สูงขึ้นมาก ทำให้มอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพิ่มพลังการหมุนของกังหันลม และยังใช้ในระบบนำวิถีของขีปนาวุธอีกด้วย
วิธีการสกัดแร่หายากที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในรัฐคะฉิ่นเรียกว่า การสกัดด้วยการชะล้างในแหล่งแร่ (In-situ leaching) ซึ่งเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
- เจาะภูเขา: คนงานจะเจาะรูจำนวนมากบนยอดเขาที่มีแร่หายาก
- อัดสารเคมี: จากนั้นจะฉีดสารละลายที่ประกอบด้วยน้ำและสารเคมี (เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต) ลงไปในรูเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
- ชะล้าง: สารเคมีจะค่อยๆ ซึมลงไปในดินและละลายแร่หายากออกมา
- รวบรวม: ของเหลวที่ปนเปื้อนจะไหลมารวมกันในบ่อพักที่เชิงเขา
- ตกตะกอน: เติมสารเคมีเพิ่มเพื่อให้แร่หายากที่ละลายอยู่ตกตะกอนลงมาเป็นโคลน
- เผา: โคลนที่ได้จะถูกนำไปเผาในเตาฟืนที่ปล่อยควันพิษออกมา จนได้เป็นผงออกไซด์ของแร่หายากแห้งๆ บรรจุในกระสอบเพื่อส่งไปขายต่อที่ประเทศจีน
กระบวนการดังกล่าวส่งผลให้เกิดมลพิษอย่างรุนแรง นายโธมัส ครูมเมอร์ ผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาด้านแร่หายาก ณ สิงคโปร์ ได้ชี้แจงว่า
"การทำเหมืองประเภทนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่สามารถฟื้นฟูได้ การอัดฉีดสารละลายปริมาณมหาศาลลงไปในพื้นดินเช่นนี้ เป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขให้กลับสู่สภาพเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น"
ขณะที่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรของไทยที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบการปนเปื้อนอย่างรุนแรงในตัวอย่างน้ำและดินรอบเมืองปันวา ทั้งจากแร่หายากเองและโลหะหนักที่เป็นพิษ
พร้อมเตือนว่าน้ำจากแหล่งดังกล่าว "ไม่เหมาะสำหรับการบริโภคของมนุษย์ การชลประทาน หรือการเลี้ยงปลาโดยสิ้นเชิงหากไม่ผ่านการบำบัดอย่างเข้มข้น"
เกมการเมืองที่ซับซ้อนและอนาคตที่ไม่แน่นอน
การยึดครองปันวาของ KIA ถือเป็นการท้าทายอำนาจของรัฐบาลทหารเมียนมา และสร้างความไม่พอใจให้กับจีน ซึ่งเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่สุดในการเมืองเมียนมา
ในช่วงแรก จีนตอบโต้ด้วยการปิดพรมแดนอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้การค้าหยุดชะงักและราคาสินค้าพุ่งสูง ข้อมูลศุลกากรแสดงให้เห็นว่าการนำเข้าแร่หายากจากเมียนมาไปยังจีนลดลงกว่า 90% ในช่วงนั้น
แต่ในที่สุด การขนส่งก็กลับมาเป็นปกติในเดือนเมษายนปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าจีนและ KIA อาจบรรลุข้อตกลงบางอย่างได้แล้ว
การกลับมาส่งออกแร่หายากอีกครั้งทำให้ KIA ก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองด้านโภคภัณฑ์ระดับโลกอย่างเต็มตัว ในภาวะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกกำลังพยายามลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานแร่หายากจากจีน
เมา ตุน อ่อง สมาชิกรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) หรือรัฐบาลเงาของเมียนมา เปิดเผยว่า เขาได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับผู้นำกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA)
พร้อมทั้งเตือนว่าสถานการณ์ของ KIA อาจเป็นที่น่าจับตามองและมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ"เกมการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์" ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
สำหรับบริษัทข้ามชาติ สถานการณ์นี้ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ต้องหาแหล่งทางเลือกอื่น ผู้บริหารบริษัทผลิตแม่เหล็กรายหนึ่งยอมรับว่าความกังวลด้านจริยธรรมในการจัดหาวัตถุดิบจากพื้นที่สงครามนั้นมีอยู่แล้ว
แต่เมื่อรวมกับความไม่แน่นอนในการพึ่งพาแหล่งผลิตเดียว ก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนาเพื่อลดการใช้แร่หายากจากเมียนมา
แต่ถึงอย่างนั้น ปัจจุบันนวัตกรรมที่ปลายทางของห่วงโซ่อุปทานก็ยังคงมีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่ความต้องการในตลาดยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยังมีวิดีโอจากคนงานเหมืองชาวจีนที่เผยให้เห็นภาพการทำงานอันน่าสลดใจในรัฐคะฉิ่น คนงานต้องเสี่ยงอันตราย ใช้ทัพพีตักแกงค่อยๆ ตักผงแร่หายากร้อนๆ ที่เพิ่งเผาเสร็จบรรจุลงกระสอบเพื่อรอส่งข้ามพรมแดน
เมื่อขุมทรัพย์แห่งคะฉิ่นเคลื่อนไหว แร่หายากล็อตใหม่ ก็พร้อมส่งออกหล่อเลี้ยงอุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลก
ที่มา : Bloomberg