บรรเทาความเดือดร้อนของคณะงิ้วเย่ว์จี้ว์ฟางหวา–เส้นทางสี จิ้นผิง(197)
บรรเทาความเดือดร้อนของคณะงิ้วเย่ว์จี้ว์ฟางหวา--เส้นทางสี จิ้นผิง(197)
นี่คือ การลงพื้นที่สำรวจข้อมูลประกอบการวิจัย และในขณะเดียวกันก็เป็นการประชุมเพื่อแก้ปัญหาในสถานที่จริงด้วย ในที่ประชุมครั้งนั้น นายหลิน ฝางได้รายงานสถานการณ์ของคณะงิ้วโดยชี้ถึงปัญหาหลัก 2 ประการ “หนึ่ง คือ โรงละครของคณะงิ้วฟางหวานั้นเก่าและทรุดโทรมมาก จำเป็นต้องซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน
สอง คือ เส้นทางเข้าออกโรงละครนั้นไม่สะดวกอย่างมาก ผู้ชมต้องข้ามแม่น้ำไปมาทางทิศเหนือหรือใต้ของแม่น้ำไป๋หม่าเหอ ต้องข้ามสะพานเล็กและลัดเลาะตามตรอกแคบๆ จึงอยากให้สร้างสะพานที่เชื่อมตรงถึงหน้าโรงละคร”
เมื่อนายสี จิ้นผิงฟังรายงานจบ ที่ประชุมก็มีมติทันทีให้จัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างโรงละครใหม่ ทั้งยังมอบหมายให้เมืองฝูโจวสร้างสะพานข้ามแม่น้ำไป๋หม่าเหอ ซึ่งจะเชื่อมตรงถึงหน้าโรงละครโดยตรง
นายหลิน ฝางเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า “สหายสี จิ้นผิง กล่าวว่า ศิลปินรุ่นบุกเบิกของคณะงิ้วเย่ว์จี้ว์ฟางหวา เช่น นางอิ่น กุ้ยฟาง ได้เคยช่วยเหลือฝูเจี้ยนในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในปีนั้น และได้ตั้งรกรากอยู่ในฝูโจว ทุกวันนี้คณะละครงิ้วประสบปัญหา เราก็ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะไม่ให้การสนับสนุน”
วันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2002 โรงละครฟางหวาฝูเจี้ยนแห่งใหม่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมด้วยอุปกรณ์ครบครันและฟังก์ชันหลากหลาย รองรับผู้ชมได้ 800 คน และในวันเดียวกัน สะพานใหม่ที่ข้ามแม่น้ำไป๋หม่าเหอเชื่อมตรงไปยังโรงละครก็เปิดใช้งาน พร้อมตั้งชื่อว่า “สะพานกุ้ยฟาง” เพื่อเป็นเกียรติแก่นางอิ่น กุ้ยฟาง
หลังจากนั้น คณะงิ้วเย่ว์จี้ว์ฟางหวาที่เคยเงียบเหงา ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง โรงละครประดับตกแต่งด้วยโคมไฟหลากสีสันสว่างไสว คอศิลปะและแฟนละครต่างหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย จนกลายเป็นไฮไลต์สำคัญของเขตวัฒนธรรมแม่น้ำไป๋หม่าเหอ
คณะงิ้วเย่ว์จี้ว์ฟางหวายังสามารถกลับมาผงาดในวงการศิลปะได้อีกครั้ง งิ้วเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ เช่น “ถังหว่าน” คว้ารางวัลใหญ่หลายครั้ง มีนักแสดงสามคน ได้แก่ หลี่ หมิ่น หวัง จวินอัน และเฉิน ลี่อี่ว์ ต่างได้คว้า “รางวัลเหมยฮวา” (รางวัลดอกเหมย) อันทรงเกียรติ ตามลำดับ สร้างชื่อเสียงให้กับคณะจนได้ฉายา “หนึ่งคณะ สามเหมย”
ที่เมืองจางโจว ร่องรอยของทีมวอลเลย์บอลหญิงจีนมีให้เห็นอยู่ทั่วไป
ปี ค.ศ. 1972 เพื่อพัฒนากิจการวอลเลย์บอล คณะกรรมการการกีฬาแห่งชาติจีนได้ตัดสินใจที่จะสร้างศูนย์ฝึกวอลเลย์บอลแห่งหนึ่งในภาคใต้ของจีน ซึ่งเมืองจางโจวได้รับเลือกเพราะ “ผู้นำให้ความสำคัญ ประชาชนรักกีฬา อากาศดี ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์”
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงทีมวอลเลย์บอลหญิงจีน ชาวเมืองจางโจวมักเรียกตัวเองว่า “ครอบครัวฝ่ายหญิง” ของทีมวอลเลย์บอลหญิงจีน และมักจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทีมวอลเลย์บอลหญิงให้ฟังด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ฟังกันอย่างเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ
เรื่องเล่าเหล่านั้นรวมถึงการที่เมืองนี้สามารถสร้าง “หอกีฬาไม้ไผ่” โดยใช้วัสดุก่อสร้างที่เรียกกันว่า “ซานเหอถู่” ได้ภายในเวลาเพียง 23 วันในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งนำไปสู่การให้กำเนิด “จิตวิญญาณหอไม้ไผ่”,ปี ค.ศ. 1992 เมืองจางโจวได้ระดมทุนด้วยคำขวัญ“บริจาคเฉลี่ยคนละหนึ่งหยวน” เพื่อเร่งสร้าง “หอเถิงเฟย” (หอทะยาน) ,ปี ค.ศ. 1996 เมืองจางโจวได้ก่อสร้าง “อนุสรณ์สถานทีมวอลเลย์บอลหญิงจีนแชมป์ 3 สมัย” ที่สูงถึง 24 เมตร มีลูกวอลเลย์บอลขนาดใหญ่อยู่บนยอดซึ่งชาวบ้านในท้องถิ่นมักเรียกกันว่า “ติ้งเฟิงจู” (ลูกแก้วสยบลม) และยังมีภาพความทรงจำ อย่างเช่น การเจอนักกีฬาทีมวอลเลย์บอลหญิงที่ร้านขายของชำ
เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่บรรจุยุคสมัย ความรู้สึก และความประทับใจร่วมกันไว้ในหนึ่งเดียว ภายใต้เรื่องเล่าเหล่านี้ “จิตวิญญาณทีมวอลเลย์บอลหญิงจีน” ได้ถือกำเนิด ฟันฝ่าคลื่นลม พัฒนาสืบทอด และเปล่งประกายอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
ในฐานะ “ครอบครัวฝ่ายหญิง” นายสี จิ้นผิงเองก็ชื่นชมศูนย์ฝึกกีฬาจางโจวเป็นอย่างมากเช่นกัน
วันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 นายสี จิ้นผิงได้ไปตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกกีฬาเมืองจางโจวเป็นครั้งแรก เขากล่าวหลังรับฟังรายงานว่า “ชื่อเสียงของศูนย์ฝึกทีมวอลเลย์บอลหญิงเมืองจางโจวเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย คนทั่วโลกต่างจับตามอง ประชาชนทั่วประเทศจีนรู้สึกประทับใจ และจิตวิญญาณของทีมวอลเลย์บอลหญิงยังถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในห้าจิตวิญญาณหลักของเมืองจางโจวด้วย ผมเองก็ชื่นชมสถานที่แห่งนี้มาโดยตลอด สถานที่แห่งนี้คือเแหล่งกำเนิดของวีรชน และยังเป็นเแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณประชาชาติจีนด้วย”
แปลเรียบเรียงโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน(CMG)
ติดตามตอนก่อนหน้าได้ที่