โฮมโปร เผยไม่ว่าศาลฯ ตัดสินอย่างไร ภาคธุรกิจต้องเดินหน้าต่อ รุกขยายสาขา ลุยสินค้ารักษ์โลกดันยอด
โฮมโปร มองกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยนายกฯ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ภาคธุรกิจต้องเดินหน้าต่อ พร้อมรับเศรษฐกิจฟื้นในอนาคต เดินหน้าขยายสาขา รุกสินค้ารักษ์โลกดันยอดขาย
28 ส.ค. 2568 - นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า กรณีวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา นั้น ส่วนตัวมองว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ภาคธุรกิจหรือเอกชนก็ยังจะต้องเดินหน้าต่อไป เป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น ซึ่งที่ผ่านมาเอกชนก็พยายามช่วยตัวเองกันมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และการทำธุรกิจต้องวางแผนในระยะยาว เตรียมความพร้อม เพื่อรองรับดีมานด์เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
สำหรับแผนงานของโฮมโปร มีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อช่องทางการจำหน่ายแบบออมนิชาเนล ด้วยการขยายช่องทางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงมาร์เก็ตเพลสของตัวเอง ซึ่งตอนนี้สามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ถึง 8% แล้ว ควบคู่ไปกับการขยายสาขาและพัฒนารูปแบบของสาขาใหม่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเปิดตัว “โฮมโปร-เมกาโฮม” ซึ่งเป็นโมเดลไฮบริดที่ตอบโจทย์ทั้งงานช่างและสินค้าที่รองรับกลุ่มลูกค้าทั่วไป โดยปี 2568 นี้ วางแผนที่จะเปิดเพิ่ม 11 สาขา
นอกจากนี้ กลุ่มสินค้ารักษ์โลก หรือ Circular Products ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะช่วยผลักดันยอดขาย เนื่องจากมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” ซึ่งได้ขยายขอบเขตของกลุ่มสินค้าไปมากกว่า 8,000 รายการแล้ว ลูกค้านำสินค้าเก่ามาแลกเพื่อใช้เป็นส่วนลด และบริษัทจะนำสินค้าเหล่านั้นเข้าไปสู่กระบวนการรีไซเคิลเป็นสินค้าใหม่ และมาจำหน่ายต่อ ซึ่งสินค้ารักษ์โลก เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคสนใจและยอมรับกันมากขึ้น เห็นได้จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการนำสินค้าเก่ามาแลกแล้วกว่า 3 แสนชิ้น ส่วนมากคิดเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า 80% ตั้งเป้าว่ากลุ่มสินค้ารักษ์โลกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ทำให้กระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจช่วงที่ผ่นามา ไม่ว่าจะเป็นภาษีทรัมป์ หรือแม้แต่สภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการยอดขายกลุ่มเครื่องทำความเย็น ขณะเดียวกันยอดขายจากสาขาเดิมก็ไม่เติบโต ทำให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง หรือเติบโตเพียงแค่ 3-4% คาดการณ์ว่าจะส่งผลต่อเนื่องตลอดปียอดขายเติบโตในระดับทรงตัว ยอมรับว่าเป็นปีที่เหนื่อย