ผจญโลก “จูราสสิค” ที่ “เกาะอิสลา นูบลาร์”

ก่อนที่จะเดินไปสู่จุดขึ้นเรือเฟอร์รี่ ภายในห้องโถงต้อนรับจะพาย้อนเรื่องราวของไดโนเสาร์ในจูราสสิค เวิลด์ โดยมีก้อนอำพันที่เป็นจุดเริ่มต้นของการถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งของเหล่าสัตว์โลกล้านปี เมื่อได้เวลาผู้โดยสารพร้อม กัปตันก็ถอนสมอออกเพื่อพาทุกคนมุ่งหน้าสู่ “เกาะอิสลา นูบลาร์” หน้าต่างที่ล้อมรอบอยู่เปิดขึ้นเมื่อเรือเริ่มออกจากฝั่ง ท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยพายุฝนพาเอาละอองน้ำสาดกระเซ็นเข้ามาพร้อมกับกลิ่นอายทะเล แต่แล้วก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางเรือกลับเผชิญกับแรงสั่นสะเทือน แล้ววาฬยักษ์ก็กระโจนขึ้นมาจากน้ำแบบชิดติดขอบ จนน้ำทะเลสาดกระเซ็นเข้ามาในเรือ กัปตันรีบประกาศให้รู้ว่าตัวที่เห็นแค่วาฬ ยังไม่ใช่ “โมซาซอรัส” ก่อนจะให้ข้อมูลเปรียบเทียบเพิ่มเติม ไม่นานม่านหน้าต่างก็ปิดลงเป็นสัญญาณว่าเรือได้พามาถึงยังเกาะอิสลา นูบลาร์แล้ว

เพียงก้าวลงจากเรือเดินไปตามทางขึ้นสู่เกาะ เสียงทักทายจากสัตว์ขนาดยักษ์ที่อยู่บนเกาะก็เริ่มดังและเมื่อประตูใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของจูราสสิค เวิลด์เปิดออก ได้โนเสาร์กินพืชตัวยักษ์ก็ส่ายคอยาวทักทาย “แบรคิโอซอรัส” หรือ “บราชิโอซอรัส” เป็นซอโรพอดขนาดใหญ่ ลำตัวยาว 30 เมตร สูง 13-15 เมตร กำลังและเล็มใบไม้ที่อยู่เบื้องหน้า โดยมีเหล่าผู้ชมห้อมล้อมเข้าไปทักทาย หากใครอยากเก็บภาพกับน้องคอยาวแบบใกล้ชิดชัด ๆ เพียงแค่ขึ้นบันไดไปยังเทอเรสที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งเป็นหอสังเกตุการณ์ของเจ้าหน้าที่ ก็จะสามารถยืนเซลฟี่ด้วยได้ทันที ส่วนคนที่อยากรู้ว่าพื้นที่อยู่อาศัยของพวกเขาเหล่านี้กว้างใหญ่แค่ไหนสามารถส่องดูจากกล้องส่องทางไกลที่ตั้งอยู่ด้านหน้า

และในบริเวณนี้ยังมีตัวเล็กรุ่นลูกอย่าง “เทอโรซอร์” สัตว์ปีกในยุคเดียวกับไดโนเสาร์แต่ไม่จัดว่าเป็นไดโนเสาร์ เพราะเป็นรุ่นลูกจึงต้องมีเจ้าหน้าที่คอยอุ้มไว้และพร้อมให้พี่ ๆ น้อง ๆ เข้ามาทักทายด้วยการหันหลังนิ้วเคาะไปที่บริเวณจงอยปากที่ยาวออกมา ถัดมา “แองไคโลซอรัส” หรือ “แองคิโลซอรัส” ไดโนเสาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสกุลแองคิโลซอร์แห่งยุคครีเตเชียส ในทวีปอเมริกาเหนือ แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะคล้ายกับหลังเต่าแบบมีเกราะหุ้มด้านหลัง แต่มันก็เป็นไดโนเสาร์ชนิดกินพืชอีกชนิด ทุกคนจึงเข้าเยี่ยมชมได้แบบไม่ต้องกังวลว่าจะเผลอก้าวออกมางาบคนที่มาเยี่ยมชมเข้า

แล้วความตื่นเต้นก็ค่อย ๆ คืบคลานมาเยือน เมื่อเข้าสู่อาณาจักรของเหล่าแรปเตอร์ แม้ว่าจะถูกจับใส่ที่ครอบปากไว้แต่ก็ยังสามารถส่งเสียงคำรามออกมาเป็นระยะ ๆ แต่ในแท่นครอบที่มีอยู่ทั้งหมด 4 อันนั้นมีอันหนึ่งที่ไร้ตัวตนเจ้าของพื้นที่ และไม่ใช่ใครที่หายไป เจ้า “บลู” นั่นเอง แม้จะเป็น “เวโลซีแรปเตอร์” แต่บลูก็มักจะชอบที่จะอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ห้อมล้อม นอกจากจะทำตามคำสั่งบางอย่างของเจ้าหน้าที่ได้เพราะความเฉลียวฉลาดที่มีอยู่แล้ว ยังพร้อมที่จะยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมด้วย

หลังอำลาบลูก็เดินทางเข้าสู่หอสังเกตการณ์เพื่อทำความรู้จักกับ “อินโดไมนัส เร็กซ์” ผ่านวีดิโอแล้ว ตัวจริงที่อยู่อีกด้านก็ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากป่าที่พรางตัวพร้อมกับเสียงคำราม ไม่นานเร็กซ์ก็เริ่มโจมตีหอสังเกตการณ์จนสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ระหว่างนั้น “คาร์โนทอรัส” ก็โผล่ออกมาจากอีกด้านดึงความสนใจของเร็กซ์ไป เมื่อสัตว์ร่างยักษ์ทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่รีบปิดบานหน้าต่าง และรีบพาทุกคนออกจากอาคารท่ามกลางสัญญาณเตือนภัยที่ดังต่อเนื่อง

เส้นทางหลบหนีพามาถึงโกดัง ความวุ่นวายยังไม่จบลง แล้วจู่ ๆ “คาร์โนทอรัส” ก็หายออกไปจากกรง กล่องสินค้าที่ซ้อนกันอยู่ในโกดังเริ่มสั่นสะเทือน แล้วเจ้าตัวที่คิดว่าหายไปจากจอก็โผล่มาทักทายพร้อมคมเขี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญรีบพาทุกคนวิ่งหนีเอาตัวรอด ผ่านพื้นที่ป่าดิบชื้นที่มีเสียงสัตว์ป่าระงมตลอดทาง แล้ว “ไดโลโฟซอรัส” ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกางแผงคอที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผู้เชี่ยวชาญรีบเตือนว่าอย่าเช้าใกล้มากเกินไปเพราะอาจจะถูกพิษที่พ่นออกมาได้

แล้วก็มาถึงโดมสัตว์ปีกยุดดึกดำบรรพ์ “เทอราโนดอน” ทางเดินที่เป็นลูกกรงโค้งแม้จะยังคงแข็งแรงพอจะป้องกันภัย แต่เสียงกระพือปีกที่ดังก้องด้านบนก็สร้างความตื่นตะลึงได้ไม่น้อย ไม่นานอุโมงค์กรงทางเดินนั้นก็พามาสู่ลานด้านนอกที่มีซากรถบรรทุกจอดพังอยู่ใกล้กับแล็ปกลางทุ่ง “สไตกิโมล็อก” โผล่ออกมาทักทายจากกะบะด้านหลังของรถบรรทุก แต่ไม่มีเวลาให้ทุกคนได้ทักทายแล้วเพราะเสียงของ “ทีเร็กซ์” ดังใกล้เข้ามาทุกที เจ้าหน้าที่รีบพาทุกคนเข้าไปหลบภัยในห้องแล็ปวิจัยภาคสนาม ที่นี่ยังมีไข่ของไดโนเสาร์รวมถึงตัวอ่อนของบางสายพันธุ์อยู่ในตู้ควบคุมอุณหภูมิ

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์น่าจะปลอดภัย เจ้าหน้าที่พาทุกคนออกจากห้องทดลองกลับสู่ป่าอีกครั้ง แต่แล้วเสียงคำรามของ “ทีเร็กซ์” ก็ตามมาหลอกหลอนอีก บางคนหันไปเห็นเครื่องไจโรสเฟียร์ที่พังอยู่จึงเข้าไปตรวจสอบ แต่สภาพอากาศเลวร้าย สายฟ้าที่ฟาดลงมา ทำให้ทีเร็กซ์มองเห็นตำแหน่งของผู้คน จึงพุ่งทะยานมาหาพร้อมกับคำรามด้วยความหงุดหงิด ท่ามกลางความวุ่นวายในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็สามารถเปิดประตูพาทุกคนเข้าสู่พื้นที่ปลอดภัยได้ทันเวลา

ก่อนจะจากเกาะอิสลา นูบลาร์ นอกจากจะมีของที่ระลึกให้พกพากลับไปเป็นความทรงจำจากความตื่นเต้นที่พบเจอแล้ว หากวิ่งหลบไปมาจนท้องหิว แนะนำให้ฝ่าสายน้ำตกที่โหมกระหน่ำขึ้นไปยัง “Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant” ห้องอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Jurassic World: The Experience ผสานความตื่นเต้นเข้ากับเมนูอาหารอย่าง Tree Top Nacho Tower หอคอยนาโช่กรอบท็อปด้วยชีสและซัลซ่า, Volcano Extreme, Rack of Bones Mesquite Baby Back Pork Ribs โครงหมูอ่อนย่างซอสเมสกีตสไตล์เท็กซัส รวมถึงเบอร์เกอร์หมูจิ๋วและช็อคโกแลตไข่ไดโนเสาร์ ท่ามกลางบรรยากาศราวกับกำลังอยู่ในยุคจูราสสิคแห่งแรกที่อยู่นอกสวนสนุก ดูเพิ่มเติมที่ https://jurassicworldexperience.com/th/