ทหารเครียด ยิง‘ชาวบ้าน’ ก่อนปลิดชีพ
สลด! พลทหารจากสมรภูมิตาเมือนธมเครียดจากการปฏิบัติหน้าที่ ยิงชาวบ้านเจ็บ 2 ราย ก่อนปลิดชีพตัวเอง แม่ทัพภาคที่ 2 ยอมรับว่าเหตุการณ์ปะทะที่ผ่านมาส่งผลต่อสุขภาพจิตของกองกำลังพล เน้นย้ำผู้บังคับหน่วยให้ลงไปดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทั่วถึง "ภูมิธรรม" หาคนรับผิดชอบ
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.68 เวลา 00.45 น. กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ยินเสียงปืนดังเป็นชุด จำนวน 10 นัด บริเวณถนนข้างวัดบ้านเขื่อนแก้ว อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ต่อมาเวลา 00.54 น. ได้ยินเสียงปืนเพิ่มอีก 2 นัด
จากการตรวจสอบกำลังพลและอาวุธประจำกาย พบว่า พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ออกจากที่ตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมอาวุธปืนเล็กยาวและกระสุนจำนวนหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ได้แก่ 1.นายอนุวัฒน์ อายุ 32 ปี ชาวบ้านเขื่อนแก้ว ถูกกระสุนปืนทะลุปอดด้านขวา อาการสาหัสแต่ยังรู้สึกตัว ขณะนี้ส่งต่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์ 2.นายวุทธนา อายุ 35 ปี ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดกระจกที่เท้าซ้าย อาการปลอดภัย ผู้บาดเจ็บทั้งสองรายได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและส่งโรงพยาบาลกาบเชิง ก่อนส่งต่อรักษาตามความเหมาะสม โดยขณะนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว
พ.อ.ริชฌากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจร่วมกับกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ตรวจสอบพื้นที่และสอบถามพยาน เบื้องต้นคาดว่าพลทหารดังกล่าวอาจเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ จึงได้จัดกำลังออกลาดตระเวนค้นหาโดยรอบพื้นที่ แต่ยังไม่พบตัว
ต่อมา พ.ต.หญิงกัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่พบพลทหารดังกล่าวเสียชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการอัตวินิบาตกรรม เนื่องจากพบหมวกเหล็กและอาวุธประจำกายวางอยู่ข้างลำตัว ขณะนี้กองทัพภาคที่ 2 ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและนิติเวชฯ อยู่ระหว่างการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและชันสูตรพลิกศพ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
กองทัพบกขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในกระบวนการสืบสวนตามกฎหมาย และเร่งให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บอย่างดีที่สุดต่อไป
ขณะที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ในสภาวะสงคราม มีเรื่องความเครียดในสนามรบอยู่แล้ว กองทัพจึงจำเป็นต้องเข้าไปดูแลเรื่องสุขภาพจิตของกำลังพลแนวหน้า โดยคณะแพทย์พยาบาลที่จะคอยประเมินว่าใครมีความสุ่มเสี่ยง ยอมรับว่าเหตุการณ์ปะทะที่ผ่านมาส่งผลต่อสุขภาพจิตกองกำลังพลที่อยู่แนวหน้า ได้เน้นย้ำผู้บังคับหน่วยให้ลงไปดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทั่วถึง
"ได้ส่งทีมแพทย์ไปดูแลกำลังพล โดยเฉพาะคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุการสู้รบ ประเมินว่ากำลังพลใดที่มีเกณฑ์เสี่ยง แน่นอนว่าการสู้รบและเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อจิตใจ เป็นเรื่องที่เราเฝ้าระวังอยู่แล้ว" แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยว่า ในเบื้องต้นเป็นเรื่องของสภาพจิตใจช่วงการทำงาน แต่ไม่ได้มีการคลั่ง ซึ่งตอนทำงานก็ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี แต่เป็นคนที่เงียบขรึม ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าเป็นคนอารมณ์แรง แต่อาจจะปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลานาน ซึ่งมองด้วยสายตาอาจจะพิสูจน์ยาก อาจต้องใช้วิธีการพูดคุยให้มากขึ้น แต่บังเอิญเป็นช่วงที่มีสถานการณ์สู้รบ การสนทนากันอาจไม่เหมือนช่วงสถานการณ์ปกติ ยืนยันว่าที่ผ่านมาหน่วยก็ได้ดูแลภาวะความเครียดของกำลังพลอยู่ตลอด เพราะเป็นเรื่องสำคัญ และอยู่ในวิธีการปฏิบัติอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้หน่วยของพลทหารคนดังกล่าวปฏิบัติทำการรบปราสาทตาเมือนธม แต่ปัจจุบันหมุนกำลังออกมาประจำที่บริเวณ อ.ช่องจอม จ.สุรินทร์แล้ว
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า คิดว่าผู้ที่รับผิดชอบต้องลงไปดูอย่างเอาใจใส่ ผู้สื่อข่าวถามว่าในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ทหารหรือผู้ที่อยู่หน้างานค่อนข้างจะเครียด ต้องส่งนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตอนนี้ทุกหน่วยลงไปหมดแล้ว
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือเป็นความรุนแรงที่รับรู้ผ่านโลกโซเชียลมีเดีย หรือความรุนแรงจากความเห็นที่ขัดแย้งกัน มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงเหล่านี้นับเป็นความรุนแรงทั้งหมด คนที่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ก็จะมีความเครียดสูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งความเครียดนั้นก็จะนำมาสู่หลายอย่าง เช่น ปัญหาสุขภาพจิต หรืออาจจะพัฒนาเป็นความรุนแรงต่อตัวเอง ซึ่งส่วนมากก็จะพัฒนาเป็นความรุนแรงต่อตัวเอง แต่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นความรุนแรงต่อผู้อื่น
ทั้งนี้ ในระยะสั้นคนที่อยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงนอกจากจะมีความเครียดแล้ว ในระยะยาวก็จะซึมซับความรุนแรงนั้น บางคนอาจจะเกิดความรู้สึกชินชาเฉยชาต่อความรุนแรง หรือบางคนอาจจะพัฒนาเป็นความรู้สึกมองโลกในแง่ลบ เช่น เห็นความรุนแรงบนโลกออนไลน์ก็จะมองว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่เลย มีแต่คนที่ก้าวร้าวใส่กัน มีแต่คนที่มุ่งมาดอาฆาตซึ่งกันและกัน เป็นต้น ก็จะวนกลับมาเป็นความเคยชินต่อความรุนแรง กลายเป็นคนที่ยอมรับความรุนแรง ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือกระทำต่อผู้อื่น.