โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สรุป “ยุบสภา” คืออะไร ดาบสุดท้ายรัฐบาล คืนอำนาจประชาชน ก่อนเลือกตั้งใหม่

Thaiger

อัพเดต 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • Thaiger ข่าวไทย

ชวนทำความเข้าใจความหมาย “ยุบสภา” ที่มาที่ไป ขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และย้อนดูประวัติศาสตร์การยุบสภาทั้ง 15 ครั้งที่ผ่านมาของการเมืองไทย

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไร้ทางออกหลังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างลง ล่าสุดมีรายงานข่าวว่าพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจเลือกใช้ไพ่ใบสุดท้ายทางการเมือง นั่นคือการ “ยุบสภาผู้แทนราษฎร” เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการเลือกตั้งใหม่ หลังจากแรงกดดันทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลผสมมีความซับซ้อนและส่อเค้าบานปลาย

แหล่งข่าวระบุว่า การตัดสินใจยุบสภาของพรรคเพื่อไทย มีขึ้นเพื่อตัดหน้าความพยายามของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยที่อาจจับมือกันรวบรวมเสียงเพื่อเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่แข่ง ดังนั้น เพื่อทำความเข้าใจการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ จึงจำเป็นต้องมาทำความรู้จักว่า “การยุบสภา” คืออะไร และจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไรต่อไป

การยุบสภาผู้แทนราษฎรคืออะไร

การยุบสภา (Dissolution of Parliament) หมายถึง การที่ประมุขของรัฐประกาศให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สิ้นสุดลงพร้อมกันทุกคนก่อนครบวาระ โดยได้รับคำแนะนำจากฝ่ายบริหารหรือหัวหน้ารัฐบาล เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. ชุดใหม่

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 108 พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ การยุบสภาจะกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วันนับแต่วันยุบสภา

วัตถุประสงค์ของการยุบสภา

การยุบสภามีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ คือ

1. เพื่อถ่วงดุลอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ: การยุบสภาเป็นเครื่องมือของฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่ใช้ควบคุมหรือตอบโต้ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) หากเกิดความขัดแย้ง หรือรัฐบาลถูกกดดันมากเกินไป รัฐบาลอาจตัดสินใจยุบสภาเพื่อคานอำนาจของสภาได้

2. เพื่อคืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชน: เมื่อเกิดข้อขัดแย้งทางการเมืองที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างรัฐบาลกับสภา หรือภายในสภาด้วยกันเอง การยุบสภาเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้เป็นผู้ตัดสินผ่านการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งจะชี้ว่าประชาชนเห็นด้วยกับแนวทางของฝ่ายใด

ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร / แฟ้มภาพ

กรณีที่นำไปสู่การยุบสภา

ในทางปฏิบัติ มีเหตุการณ์หลายกรณีที่สามารถนำไปสู่การตัดสินใจยุบสภาได้ ดังนี้

1. ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับสภา: เช่น สภาไม่ผ่านร่างกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเสนอ

2. ความขัดแย้งระหว่างวุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎร: หากความขัดแย้งในการพิจารณากฎหมายดำเนินต่อไป รัฐบาลอาจยุบสภาเพื่อยุติปัญหา

3. มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่: รัฐบาลอาจยุบสภาเพื่อให้มีรัฐสภาชุดใหม่ที่ทำงานภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

4. ต้องการเร่งการเลือกตั้งให้เร็วขึ้น: เมื่อสภาใกล้ครบวาระ สมาชิกอาจขาดความกระตือรือร้น การยุบสภาจะทำให้ได้ สส. ชุดใหม่ที่พร้อมทำงานเร็วขึ้น

5. รัฐบาลมีคะแนนนิยมสูง: เป็นการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์เพื่อจัดการเลือกตั้งในขณะที่พรรคของตนกำลังเป็นที่นิยม เพื่อเพิ่มโอกาสในการกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งด้วยความเข้มแข็งกว่าเดิม

6. เพื่อชิงตัดหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ: นายกรัฐมนตรีอาจยุบสภาก่อนที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินแทนสภา

7. รัฐบาลขาดเสถียรภาพ: เกิดปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล หรือรัฐบาลผสมไม่มีเอกภาพ ทำให้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถควบคุมการทำงานได้

8. เกิดปัญหาร้ายแรงในการบริหารประเทศ: จนทำให้สภาไม่สามารถทำงานต่อไปได้

9. ประชาชนเรียกร้อง: เกิดกระแสเรียกร้องจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งใหม่

ใครมีอำนาจยุบสภา

  • ผู้มีพระราชอำนาจ: รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
  • ผู้ทูลเกล้าฯ ถวายคำแนะนำ: นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการถวายคำแนะนำและเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในพระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งตามหลักการ “The King can do no wrong” ผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะเป็นผู้รับผิดชอบทางการเมือง

ผลที่ตามมาหลังการยุบสภา

เมื่อมีการยุบสภา จะเกิดผลทางกฎหมายที่สำคัญดังนี้

1. สส. พ้นจากตำแหน่ง: สมาชิกภาพของ สส. ทั้งสภาสิ้นสุดลงทันที

2. จัดการเลือกตั้งใหม่: ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 45-60 วัน

3. คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง: รัฐมนตรีทั้งคณะจะพ้นจากตำแหน่ง แต่ยังต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในฐานะ “รัฐบาลรักษาการ” จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ โดยรัฐบาลรักษาการมีอำนาจจำกัด เช่น ไม่สามารถแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง หรืออนุมัติโครงการที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไปได้ เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

4. วุฒิสภาประชุมไม่ได้: ในระหว่างที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร จะมีการประชุมวุฒิสภาไม่ได้ เว้นแต่เป็นการประชุมที่ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาในกรณีพิเศษ เช่น การให้ความเห็นชอบผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, การประกาศสงคราม, การพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือการพิจารณาถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง

5. ร่างกฎหมายบางฉบับตกไป: ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาจะถือว่าเป็นอันตกไป

ประวัติศาสตร์การยุบสภาในประเทศไทย

นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จนถึงข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566 ประเทศไทยมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วทั้งสิ้น 15 ครั้ง โดยมีเหตุผลแตกต่างกันไปในแต่ละสมัยรัฐบาล ดังนี้

  • ครั้งที่ 1: 11 กันยายน พ.ศ. 2481 (พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา) – รัฐบาลขัดแย้งกับสภา
  • ครั้งที่ 2: 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช) – สภาผู้แทนฯ มีการยืดอายุมานานช่วงสงคราม
  • ครั้งที่ 3: 16 ธันวาคม พ.ศ. 2516 (นายสัญญา ธรรมศักดิ์) – สมาชิกสภานิติบัญญัติลาออกจำนวนมากจนไม่สามารถทำหน้าที่ได้
  • ครั้งที่ 4: 12 มกราคม พ.ศ. 2519 (ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 5: 19 มีนาคม พ.ศ. 2526 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) – สภาผู้แทนฯ ขัดแย้งกับวุฒิสภากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • ครั้งที่ 6: 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) – รัฐบาลขัดแย้งกับสภากรณีการตราพระราชกำหนด
  • ครั้งที่ 7: 29 เมษายน พ.ศ. 2531 (พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 8: 30 มิถุนายน พ.ศ. 2535 (นายอานันท์ ปันยารชุน) – เกิดวิกฤตทางการเมือง (เหตุการณ์พฤษภาคม 2535)
  • ครั้งที่ 9: 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 (นายชวน หลีกภัย) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 10: 28 กันยายน พ.ศ. 2539 (นายบรรหาร ศิลปะอาชา) – ความขัดแย้งภายในรัฐบาล
  • ครั้งที่ 11: 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 (นายชวน หลีกภัย) – เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน
  • ครั้งที่ 12: 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) – เกิดวิกฤตทางการเมือง
  • ครั้งที่ 13: 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) – เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจหลังเกิดความขัดแย้งทางการเมือง
  • ครั้งที่ 14: 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) – เกิดวิกฤตทางการเมือง
  • ครั้งที่ 15: 20 มีนาคม พ.ศ. 2566 (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) – เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจหลังวิกฤติการณ์ทางการเมือง

ที่มา: สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, Wikipedia

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...