ทรัมป์ ปลด หัวหน้ากรมสรรพากรสหรัฐฯ ตั้ง สก็อต เบสเซนต์ ทำหน้าที่ชั่วคราว
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปลด บิลลี่ ลอง ออกจากตำแหน่ง หัวหน้ากรมสรรพากรสหรัฐฯ และแต่งตั้งให้สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาทำหน้าที่แทนชั่วคราว
9 สิงหาคม 2568- โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปลด บิลลี่ ลอง (Billy Long) ออกจากตำแหน่ง หัวหน้ากรมสรรพากรสหรัฐฯ (Internal Revenue Service - IRS) และแต่งตั้งให้สก็อต เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาทำหน้าที่แทนชั่วคราว
สำนักข่าว CNBC รายงานอ้างอิงจาก NBC News ที่ระบุว่ามีแหล่งข่าว 3 รายเปิดเผยเรื่องนี้ โดย บิลลี่ ลอง เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการ IRS ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การเปลี่ยนตัวครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ของทรัมป์เริ่มมีผล และเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ทรัมป์ลงนามกฎหมายลดภาษีและแก้ไขรหัสภาษีหลายรายการ
โดย บิลลี่ ลอง ได้ส่งข้อความ SMS ยืนยันกับ NBC News เรื่องที่เขากำลังออกจากตำแหน่งว่า
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานรับใช้เพื่อนของผม ประธานาธิบดีทรัมป์ และผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะไปรับตำแหน่งใหม่ในฐานะเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำไอซ์แลนด์ ผมดีใจที่ได้รับการเรียกให้มารับใช้ชาติ และมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะผลักดันวาระอันกล้าหาญของเขา ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นกำลังรออยู่ข้างหน้า”
ทั้งนี้ก่อนที่จะได้รับการรับรองจากวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้า IRS บิลลี่ ลอง เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐมิสซูรี ระหว่างปี 2011 ถึง 2023 และก่อนเข้าสู่การเมืองเขาทำงานเป็นนักประมูล โดยหนึ่งวันก่อนถูกปลด ลองได้ส่งอีเมลถึงพนักงาน IRS ทุกคนว่า
“พรุ่งนี้เลิกงานก่อนเวลา 70 นาที เพื่อที่คุณจะได้พักผ่อนและพร้อมสำหรับวันเกิดครบ 70 ปีของผมในวันจันทร์” ตามรายงานของ The New York Times
สำหรับ สก็อต เบสเซนต์ การเข้ามาทำหน้าที่หัวหน้า IRS จะทำให้เขาเป็นคนที่ 6 ในปีนี้ ที่ทำหน้าที่ดูแลหน่วยงานสำคัญนี้ภายใต้การบริหารของทรัมป์ ซึ่งทำให้ต้องแบกรับภารกิจเพิ่มขึ้นอีก เช่น การเจรจาการค้ากับจีน แคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่น ๆ ที่ยังคงต่อรองอัตราภาษีกันอยู่ รวมถึงการช่วยค้นหาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คนต่อไป เนื่องจาก IRS เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงการคลัง
และภายใต้รัฐบาลทรัมป์ IRS ย้งต้องเผชิญกับการปรับลดบุคลากรครั้งใหญ่ในฐานะส่วนหนึ่งในโครงการของ “กรมประสิทธิภาพของรัฐบาล” (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) ที่อีลอน มัสก์เป็นผู้นำอีกด้วย
ด้านโฆษกกระทรวงการคลังของสหรัฐฯปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้
ขณะที่รัฐบาลทรัมป์กำลังปรับโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของประเทศ โดยขณะนี้สหรัฐฯ เก็บภาษีศุลกากรได้เพิ่มขึ้นหลายพันล้านดอลลาร์ต่อเดือนจากมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของทรัมป์ ในปีนี้ ผู้นำเข้า ซึ่งรวมถึงธุรกิจทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ได้จ่ายภาษีศุลกากรรวมแล้วมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ให้กับรัฐบาล
ทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะจัดตั้ง “หน่วยงานจัดเก็บรายได้ภายนอก” (external revenue service) เพื่อเก็บภาษีดังกล่าว แต่จนถึงตอนนี้ หน้าที่นี้ยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง และศุลกากรและป้องกันพรมแดน (Customs and Border Protection) ซึ่งสังกัดกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
เมื่อเดือนที่แล้ว ทรัมป์ได้ลงนามกฎหมาย “big, beautiful bill” ซึ่งมีทั้งการลดภาษีครั้งใหญ่ มาตรการใช้จ่าย และการตัดบริการบางส่วน ร่างกฎหมายที่เป็นประเด็นขัดแย้งนี้ผ่านวุฒิสภาได้ด้วยเสียงชี้ขาดจากรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ (JD Vance)
กฎหมายฉบับนี้ขยายเวลาการลดภาษีที่หมดอายุซึ่งทรัมป์ได้ออกไว้ตั้งแต่สมัยแรกในปี 2017 พร้อมทั้งลดภาษีชั่วคราวสำหรับทิปและค่าล่วงเวลา รวมถึงอนุญาตให้หักดอกเบี้ยเงินกู้รถยนต์ออกจากภาษีได้ นอกจากนี้ยังมีงบประมาณหลายแสนล้านดอลลาร์สำหรับการทหาร และการดำเนินการตามแผนเนรเทศครั้งใหญ่ของทรัมป์
ภายในพรรครีพับลิกันมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าควรตัดงบประมาณโครงการสวัสดิการสังคมของรัฐบาลกลางมากน้อยเพียงใด และควรเพิ่มเพดานการหักลดหย่อนภาษีของรัฐและท้องถิ่น (SALT) แค่ไหน
ตามการประเมิน กฎหมายฉบับนี้จะเพิ่มหนี้สาธารณะสหรัฐฯ อีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปี และทำให้ประชาชนกว่า 11 ล้านคนสูญเสียความคุ้มครองประกันสุขภาพเนื่องจากการตัดงบ โครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง และมาตรการอื่น ๆ
อ้างอิง : cnbc.com, nbcnews.com, nytimes.com