คุยกับพลอย-เจี้ยนชา แบรนด์ชาคนไทยไม่ใช่จีน! ตั้งเป้า 1,000 สาขาใน 5 ปี
หากพูดถึงแบรนด์เครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็นชาผลไม้หรือชานมไข่มุก เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะมีร้านโปรดในดวงใจที่ชื่นชอบแตกต่างกันไป สำหรับผู้บริโภคแล้วยิ่งมีร้านชานมเยอะมากเท่าไร มันคือตัวเลือกที่และโอกาสที่เราจะได้ลิ้มลองร้านใหม่ๆ แต่สำหรับผู้ประกอบการแล้ว นี่คือสมรภูมิสุดหินหรือเรียกง่ายๆว่าคือตลาดแห่ง Red Ocean ยิ่งมีผู้เล่นเยอะการแข่งขันก็จะดุเดือดตาม ทั้งด้านราคาที่ต่างอัดโปรชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า หรือแม้แต่การสร้างสรรค์รสชาติใหม่ๆตลอดเวลาเพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า
แต่มีร้านชาอยู่ร้านหนึ่ง ที่สามารถขยายสาขาได้มากถึง 40 สาขา โดยใช้เวลาก่อร่างสร้างตัวไม่ถึง 2 ปี ส่วนปีนี้พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาครบ 100 แห่ง ส่วนแผน 5 ปี ขอมีร้านของตน 1,000 สาขาทั่วไทยและพร้อมพาแบรนด์บุกไปยังต่างประเทศ และแบรนด์นั้นก็คือ ‘เจี้ยนชา’ (Jian Cha)
บทความนี้ ทีม SPOTLIGHT ได้มีโอกาสสัมภาษณ์และพูดคุยสุด exclusive กับคุณพลอย Dr.Polly Hason Founder & CEoเจี้ยนชา แบรนด์ชาคนไทยไม่ใช่จีน!กับภารกิจมี 1,000 สาขาใน 5 ปี
‘เจี้ยนชา’ แบรนด์ชาของคนไทย ไม่ใช่คนจีน
เชื่อว่าหลายๆคนที่ฟังชื่อแบรนด์เป็นครั้งแรก อาจมองว่า ‘เจี้ยนชา’ เป็นแบรนด์ของคนจีน แต่แท้จริงแล้วแบรนด์นี้ เป็นแบรนด์ของไทย
คุณพลอยได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า แบรนด์เจี้ยนชาเกิดขึ้นจาก 2 นักธุรกิจชาวไทยนั้นก็คือ คุณพลอย Dr.Polly Hasonและ คุณภาณุวัชร วัฒนกิจรุ่งโรจน์ และ 1 พาร์เนอร์ที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณพลอยอย่างคุณ Peter Peng tao
ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตลาดเครื่องดื่มในเมืองไทยนั้นมีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่พวกเขากลับเห็นโอกาสบางอย่างที่หลายๆคนอาจมองข้าม คือ ร้านชาที่มีความเก๋เหมือนแฟชั่น ชาพรีเมียม ใส่ใจในเรื่องการตกแต่งร้านและpackaging
ในส่วนของชื่อแบรนด์ คุณพลอยได้เล่าว่า ‘เจี้ยนชา’ แปลว่า ใบชาจากภูเขา โดยคำว่า ‘เจี้ยน’ แปลว่า มองเห็น หรือ ภูเขา ส่วน ‘ชา’ แปลว่า ใบชา มีมากกว่า 40 เมนู โดยมีเมนูยอดฮิต อย่างชาองุ่นปลอกมือ ชานมคามิเลีย ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่ ‘เจี้ยนชา’มีการออกสินค้าใหม่ๆตลอดเวลาเพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้สึกไม่เบื่อ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะกลับมาออเดอร์เมนูเดิมๆ
โดยจากฟีคแบคและจากการเก็บ Data ของทาร้าน พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ ติดใจในรสชาติ และรู้สึกราคาคุ้มค่าทั้งกับเครื่องดื่มและการบริการ ซึ่งวันที่ขายดีที่สุดสามารถขายได้ถึง 3,000 แก้วใน 1 วัน
คนไทยหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น และให้ความสำคัญเรื่องประสบการณ์
คุณพลอยได้เล่าให้ทีม SPOTLGHT ฟังว่า ตอนนี้เทรนด์โลกที่ทำลังมา คือ ‘เทรนด์สุขภาพ’ แม้เป็นแบรนด์เครื่องดื่มก็ต้องมีการปรับตัวตามเทรนด์ให้ทัน โดยทางแบรนด์ได้มีเมนูใหม่ๆออกมาที่ใส่ใจในเครื่องสุขภาพมากขึ้น รวมถึงมีเปอร์เซ็นต์ความหวานที่ให้ลูกค้าได้เลือกตามใจชอบ
โดยมองว่า “การดื่มชาไม่ใช่การทานยา แต่การทานชาอย่างต่อเนื่องและยาวนานจะทำให้เราสามารถทานยาได้น้อยลงในอนาคต เพราะชาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มที่ให้ความอร่อยเฉยๆ แต่มีสรรพคุณที่ช่วยให่ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น”
ส่วนในเรื่องของพฤติกรรมของลูกค้าในยุคปัจจุบัน คุณพลอยมองว่า“ปัจจุบันลูกค้าไม่ได้มองแค่ว่าการซื้อเครื่องดื่ม คือ แค่การซื้อของเครื่องดื่ม แต่ลูกค้าในยุคนี้สนใจว่าแบรนด์นั้นๆให้ปรสบการณ์ให้พวกเขาอย่างไรบ้าง หรือ customer experiences เช่นการตกแต่งร้าน รูปแบบการให้บริการ สถานที่ที่ไว้นั่งรอระหว่างรอออเดอร์ หรือแม้แต่ฟิลลิ่ง ซึ่งเจี้ยนชาพยายามทำให้ร้านชาไม่เหมือนร้านชาทั่วไปในท้องตลาด แต่อยากสร้างร้านชาทีมีความเก๋ ตอบโจทย์แก่ผู้บริโภคยุคใหม่”
‘เจี้ยนชา’ ตั้งเป้าเปิด 100 สาขาในปีนี้ พร้อมลุย 1,000 สาขาในอีก 5 ปี
แม้ว่าเป็นแบรนด์ชาน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดได้เพียง 1 ปี 5 เดือน แต่ ‘เจี้ยนชา’ สามารถขยายสาขาได้มากถึง 40 สาขา พร้อมตั้งเป้าภายในปีนี้ต้องมี 100 สาขา แต่ความฝันนี้กลับใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆเพราะเมื่อถามถึงแผน 5 ปี คุณพลอยได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า อยากขยายถึง 1,000 สาขาทั่วประเทศไทย พร้อมบุกต่างประเทศแล้ว
โดยตอนนี้เพิ่งเปิดสาขาแรกที่ เมลเบิร์น ออสตรเลีย แม้อย่างที่เรารู้กันว่าชุมชนชาวเอเชียนหรือแม้แต่ชุมชนไทยที่ซิดนีย์มีจำนวนประชากรที่เยอะกว่า แต่คุณพลอยมองว่าเวลาเราจะไปเปิดที่ไหนเราต้องศึกษาตลาด เก็บดาต้า แม้ว่าเมลเบิร์นเป็นเมืองรองของซิดนีย์ แม้ว่าประชากรไม่เยอะเท่า แต่ในแง่ของการลงทุน การลองเสี่ยงต่างประเทศนี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะใช้งบลงทุนน้อยกว่าซิดนีย์ ซึ่งหากเกิดอะไรผิดพลาดพูดง่ายๆก็คืออาจไม่เจ็บตัวเท่าซิดนีย์ ส่วนสาขาในต่างประเทศที่กำลังจะเปิด คือ สเปน, สิงคโปร์, เวียดนาม, สหรัฐอเมริกา และ จีน
เมื่อคุณพลอยได้พูดถึงประเทศจีน ทำให้ทีม SPOTLIGHT ได้ถามกลับว่า “ประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นประเทศแห่งใบชาและเป็นประเทศเจ้าแห่งชานมไข่มุก ทำไมเจี้ยนชาถึงกล้าไปเปิดไม่กลัวเจ้าตลาดหรืออย่างไร ?” ซึ่งคุณพลอยได้เล่าให้ทีม SPOTLIGHT ฟังว่า จีนเหมือนเป็นประเทศในความฝัน แน่นอนว่าเจ้าตลาดเยอะคู่แข็งเยอะแต่กลยุทธ์ของเราคือการปั้นแบรนด์เจี้ยนชาให้เป็นแบรนด์ global แข็งแกร่งในประเทศไทยและเริ่มสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักมากขึ้นผ่านการไปเปิดประเทศอื่นๆ และเมื่อแบรนด์แข็งแกร่งแล้ว คนจีนจะรู้จักมากขึ้นว่าแบรนด์นี้มีสาขาที่ต่างประเทศ ดังนั้นการไปเปิดที่จีนจึงอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป