“ภาษีใหม่ทรัมป์” ฉุดเศรษฐกิจโลกหด 2 ล้านล้านดอลลาร์ นักวิเคราะห์ชี้เปิดฉากระเบียบเศรษฐกิจใหม่ Turnberry System
"ทรัมป์" กำลังเปลี่ยนโฉมการค้าระดับโลก จากการคำนวณของ Bloomberg คาดมาตรการนี้จะฉุด GDP โลกหายไปราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2570 พร้อมกระทบทั้งพันธมิตรและคู่แข่ง ขณะที่สหรัฐยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีและขึ้นภาษีสินค้าหลายรายการถึง 50%
วันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 03.37 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความพยายามของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในการรื้อสร้างระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ผ่านชุดภาษีนำเข้าของสหรัฐ กำลังส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีขนาดเล็กลงกว่าที่ควรจะเป็น และสร้างความตึงเครียดครั้งใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับทั้งพันธมิตรและคู่แข่ง ขณะเดียวกันก็เริ่มปรากฏสัญญาณความเสียหายทางเศรษฐกิจในประเทศ
แม้เช่นนั้น ทรัมป์และทีมงานยังคงยืนกรานว่า นโยบายภาษีเหล่านี้เป็นชัยชนะ โดยอ้างถึงรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยภาระงบประมาณจากการลดภาษีที่เพิ่งขยายโดยสภาคองเกรสในเดือนมิถุนายน และชี้ว่าการลงทุนจากภาคธุรกิจและประเทศพันธมิตรจะสร้างงานในอเมริกาในระยะยาว
รัฐบาลทรัมป์ชี้ว่าการที่สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นยอมตกลงในเบื้องต้นโดยไม่ตอบโต้ภาษี ถือเป็นหลักฐานความสำเร็จของยุทธศาสตร์นี้ โดย นายเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ เขียนบทความลง New York Times ว่า โลกกำลังก้าวสู่ระเบียบเศรษฐกิจแบบใหม่ที่เรียกว่า “Turnberry system” ซึ่งตั้งชื่อตามสนามกอล์ฟของทรัมป์ในสกอตแลนด์ ที่เขาใช้แถลงข้อตกลงกับอียูในเดือนกรกฎาคม
เจมีสัน เกรียร์ กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์มองเห็นอย่างชัดเจนว่า สิทธิในการเข้าถึงตลาดผู้บริโภคที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกคือรางวัลอันใหญ่ และภาษีศุลกากรคือตัวกดดันอันทรงพลัง”
ภาษีระดับสูงสุดในรอบเกือบร้อยปี
ภาษีใหม่ที่มีผลตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 7 สิงหาคม ทำให้สหรัฐมีอัตราภาษีนำเข้าสูงที่สุดนับตั้งแต่กฎหมาย Smoot-Hawley ปี 1930 ที่เคยซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่
การคำนวณโดย Bloomberg Economics คาดว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จาก 2.3% ในปีที่แล้ว และทำให้ GDP โลกหดลงประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2570
รายละเอียดภาษีใหม่
- ภาษี 30% ต่อสินค้าจีนส่วนใหญ่ (บางรายการได้รับยกเว้น)
- ภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วไป
- ภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ต่อประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ อัตรา 10–41%
- แคนาดาและเม็กซิโกถูกเก็บภาษี 35% และ 25% สำหรับสินค้าที่ไม่อยู่ในกรอบ USMCA
- สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ โดนเก็บ 15% ตามข้อตกลงเบื้องต้น (เว้นบางรายการ)
- ภาษี 40% สำหรับสินค้าที่ส่งผ่านประเทศที่สามเพื่อเลี่ยงภาษี
- ภาษี 50% ต่อเหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง
- ภาษี 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วน (รถจากแคนาดาและเม็กซิโกบางรุ่นได้รับยกเว้น)
- ยกเลิกสิทธิยกเว้นภาษี “de minimis” สำหรับสินค้าราคาต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ ตั้งแต่ 29 ส.ค.
ใครได้ประโยชน์?
- บริษัทใหญ่ที่ได้รับ ยกเว้นภาษี เช่น Apple, Samsung
- Apple ได้รับการยกเว้นทั้งภาษีสมาร์ทโฟนและชิป หลังให้คำมั่นลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ เป็น 6 แสนล้านดอลลาร์ใน 4 ปี
- เฉพาะเดือนเมษายน–พฤษภาคม 2568 บริษัทที่ได้รับยกเว้นภาษีประหยัดภาษีไปแล้วราว 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์
จีนแพ้หรือชนะ?
แม้การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐลดลง แต่จีนกำลังขยายตลาดไปยังประเทศอื่น และอาจกลายเป็นผู้ได้เปรียบจากการที่ประเทศอื่นมองว่าสหรัฐไม่น่าเชื่อถือในเชิงเศรษฐกิจในระยะยาว
ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า “ผู้ชนะในยุทธศาสตร์นี้อาจเป็น สี จิ้นผิง”
ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
- การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงในไตรมาส 2
- ตลาดแรงงานซบเซาในรายงานเดือนกรกฎาคม
- แบบจำลองของเฟดคาดว่า ทุก 1% ที่เพิ่มขึ้นในภาษีจะลด GDP ลง 0.14% เพิ่มอัตราเงินเฟ้อ 0.09%
- ดังนั้นการขึ้นภาษีล่าสุดอาจทำให้ GDP สหรัฐฯ ลดลง 1.8% และเงินเฟ้อพุ่งขึ้น 1.1% ใน 2–3 ปีข้างหน้า
ใครจ่ายภาษีนี้?
แม้ทรัมป์กล่าวว่า รัฐได้รายได้ภาษีเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ในความเป็นจริง ภาษีเหล่านี้เก็บจาก ผู้นำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งมักผลักภาระต้นทุนนี้ไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าขึ้น
- GM สูญเสียรายได้ 1.1 พันล้านดอลลาร์จากผลกระทบของภาษี
- Ford คาดว่าจะได้รับผลกระทบ 2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้
- Toyota คาดว่าได้รับผลกระทบใกล้ 1 หมื่นล้านดอลลาร์
อะไรจะตามมา?
- ภาษีใหม่สำหรับ ยาและชิป สูงสุดถึง 250% และ 100% (มีบางรายการได้รับยกเว้น)
- เตรียมตรวจสอบสินค้าอื่นๆ เช่น แร่หายาก โดรน เครื่องบิน รถบรรทุก และไม้
- ข้อตกลงใหม่กับอินเดียหรือสวิตเซอร์แลนด์อาจเกิดขึ้นหากทั้งสองฝ่ายตกลงได้
- ตลาดหุ้นเริ่มส่งสัญญาณปรับฐาน หากผลกระทบขยายตัวมากกว่านี้
อ้างอิง : bloomberg.com