ตำรวจไซเบอร์ ชงอัยการคดี “คลิปเสียง ฮุนเซน” สั่งทำร้ายฝ่ายค้าน
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 พร้อมคณะ ได้นำสำนวนคดีคลิปเสียงที่มีเนื้อหาอ้างว่า สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งการไล่ล่ากลุ่มผู้เห็นต่าง มอบให้อัยการสูงสุดพิจารณารับเป็นคดีนอกราชอาณาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานกว่า 50 แผ่น
น.ส.ฐิติวดี สินธวณรงค์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้รับมอบสำนวน และได้ร่วมแถลงข่าวกับผู้บังคับการตำรวจไซเบอร์
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ เปิดเผยว่า หลังได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แต่งตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวน และพบว่าพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 จึงต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณา
เหตุเกิดเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ในพื้นที่ สภ.บ้านฉาง จังหวัดระยอง ผู้เสียหายคือ นายพร พันนา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวกัมพูชาฝ่ายตรงข้ามสมเด็จฮุน เซน ถูกคนร้าย 3 คนร่วมกันทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และปัจจุบันได้ลี้ภัยไปสหรัฐอเมริกา ข้อหาดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี
ในคลิปเสียงที่เผยแพร่ในต่างประเทศ มีคำสั่งให้บุคคลชื่อ นายเคลียง ฮวด ชาวกัมพูชา ปฏิบัติการในประเทศไทย โดยพบว่าเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายสอดคล้องกับเนื้อหาในคลิป ขณะนี้นายเคลียง ฮวด ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ระบุว่า หากการพิจารณาสำนวนพบว่ามีการกระทำผิดจริง จะมีการออกหมายจับ และหากผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศ จะเสนอออกหมายแดงประสานตำรวจสากลซึ่งมีสมาชิก 196 ประเทศ แต่ทั้งหมดต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายของไทย
สำหรับคดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานอัยการสอบสวนแล้ว คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้
ขณะที่ น.ส.ฐิติวดี กล่าวว่า หลังรับสำนวนแล้ว จะนำเสนออัยการสูงสุดพิจารณาว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักรหรือไม่ ก่อนเสนอให้ตั้งคณะพนักงานสอบสวนพิจารณาว่าคดีมีมูลพอฟ้องหรือไม่ โดยกำหนดกรอบเวลาและรายละเอียดขึ้นอยู่กับสำนวนที่ได้รับ