เทศกาลสารคดีนานาชาติ เล่าแหลมคม ปม 'ผู้ลี้ภัย' เกาะชีวิต 3 ผู้ต้องหา ม.112
เงี่ยหูฟัง ‘สารคดีไทย’ เล่าประเด็นแหลมคม ชวนเข้าใจ ‘ผู้ลี้ภัย 112’ เหยื่อบังคับสูญหาย-เวนคืนบ้าน ในพื้นที่ทับซ้อนทางอำนาจ
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่เซ็นจูรี่ เดอะ มูฟวี่ พลาซ่า สุขุมวิท กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ “What the Doc!” ซึ่งจัดขึ้นโดย Doc club กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยฯ กระทรวงวัฒนธรรม และพันธมิตร ระหว่างวันที่ 22-31 ส.ค.นี้
โดยวันนี้มีการฉายโปรแกรมพิเศษ ‘สารคดีไทยสายประกวด’ 6 เรื่อง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ช่วง พร้อม Q&A พูดคุยกับผู้กำกับหลังฉายจบ ช่วงแรกได้แก่เรื่อง เพอเลอคี (Per Le Kee), ติดร. (Pending), Home And Away
ในช่วงเวลา 15.00 น. ต่อด้วย Au Revoir Siam, Midnight Bloom และปิดท้ายด้วย Dugong Tears ซึ่งสะท้อนปัญหาในสังคมไทยทั้งในมุมการศึกษา ผู้ลี้ภัยจากคดีมาตรา 112 การถูกไร่ลื้อ หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ ที่ล้วนเชื่อมโยงกับการเมืองทั้งสิ้น
สำหรับเรื่องแรก Au Revoir Siam สารคดีติดตามผู้ ต้องหาคดีมาตรา 112 ทั้ง 3 คน ได้แก่ จรัล ดิษฐาภิชัย ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทยในกรุงปารีส รวมถึง ‘จอม ไฟเย็น’ และ ‘มิ้นท์ นาดสินปฏิวัติ’ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ผู้ลี้ภัยไทยในฝรั่งเศส
โดยการเดินทางเชิงเปรียบเปรยกลับบ้านเกิดของเขา สารคดีได้ปลดเปลื้องอาณาเขตทางการเมืองออก ผ่านคลังเอกสารของหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส ท่ามกลางความเปราะบางของท่วงมนุษย์ที่เผยตัวออกมา ท่ามกลางปัจจุบันที่เฉยเมย ซากปรักหักพัง และสายน้ำที่ไม่เคยหยุดไหล ใบหน้าที่ถูกลืมเลือนขณะที่เราตั้งคำถามว่าพวกเขาได้เห็นอะไร ได้เป็นพยานต่อเหตุการณ์ใดบ้าง ระหว่างช่วงการกำหนดพรมแดนของประเทศไทย
นายโดเมนิโก สิงห์ เปโดรลิ ผู้กำกับเรื่อง Au Revoir Siam เผยว่า ส่วนตัวเริ่มจากงาน installation Art เหตุที่สนใจประเด็นนี้และเลือกทั้ง 3 คนนี้มาเป็นซัปเจ็กต์ เพราะรู้จักกับ อ.จรัล เป็นการส่วนตัว เหมือนเป็นการทำสารคดีส่วนตัว ที่ทำให้รู้จักคนในครอบครัว แล้วขยายวงออกไปเรื่อยๆ
นำเสนอแยกเป็นฟอร์ม โดยวางหน้าจอ 2 จอ ที่เล่นภาพคู่ขนานกันไป ทั้งฝั่งฝรั่งเศส (ผู้ลี้ภัยคดี 112 ที่อาศัยอยู่ในปารีส) และ ที่ไทย
“ในหนังพูดถึงการย้ายถิ่น ระยะทาง เมื่อมันมีสองจอ ทำให้การสื่อสารเมสเสจแบบนี้ออกมาชัดเจนมากขึ้น” นายโดเมนิโก เผย
เมื่อถามถึง ขุนทอง ไฟเย็น หนึ่งในสมาชิก ‘วงไฟเย็น’ ทำไมถึงมีเพียงซีนที่บรรเลงดนตรี ไม่มีบทสัมภาษณ์ มีเพียงเสียงกีตาร์
นายโดเมนิโกเผยว่า เป็นเพราะสิ่งที่ทำให้เขามีปัญหาจนต้องลี้ภัยก็คือ ‘การแต่งเพลง’
“การแต่งเพลง เล่นตรีนี่แหละ ที่ทำให้เขาต้องลี้ภัย นอกจากมันโฟกัสไปที่ผู้ลี้ภัยการเมือง”
นอกจากนี้ สารคดียังชวนมองให้เห็นมุม Border ทั้งเขตแดนอินโดจีน ที่แบ่งแยกรัฐสยามกับอินโดจีน การอยู่ฝรั่งเศส ทำให้ผู้กำกับเข้าถึงหลักฐานในแผนที่ (แผนที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตามหอจดหมายเหตุของฝรั่งเศส)
‘เส้นเขตแดน’ หลายครั้งมันเป็นเพียงการขีดเส้นเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันกลับแบ่งทั้งเรา และเขา ทั้งอดีต ปัจจุบัน
“ผมเริ่มถ่ายทำที่หนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง ถึง จ.อุบลฯ
เมื่อ 2 ปีมีแล้ว ที่เขาพระวิหาร (กัมพูชา) ก็มีรั้วลวดหนามแล้ว และปัจจุบันก็มีสถานการณ์เกิดขึ้นจริงๆ”
เมื่อถามว่า รู้จักบุคคลในประวัติศาสตร์ด้วยหรือไม่ หนึ่งในบุคคลที่กล่าวถึงอย่าง เสนีย์ ปราโมช รู้จักผ่าน Wikipedia และด้วยความใกล้ชิดกับ อ.จรัล ทำให้รู้จักทั้งฝั่งไทยและฝรั่งเศส
เมื่อถามว่า น้ำ และถ้ำ ทำไมถึงเลือกสิ่งนั้นมานำเสนอ ?
สำหรับ นายโดเมนิโก เผยว่า มันเล่าได้ เพื่อนำเสนอความรู้สึกของผู้ที่ลี้ภัย ตัดสลับกับ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากหอจดหมายเหตุยุคล่าอาณานิคม
ภาพยนตร์พาเราลงลึกไปในถ้ำใต้น้ำ เขาโยนกล้องลงไป พอลองไปใต้แม่น้ำโขงแล้ว กลับพบว่า ‘ใต้น้ำไม่มีเส้นแบ่งเขตแดน’
ด้าน นายทวีโชค ผสม ผู้กำกับเรื่อง Dugong Tears ซึ่งเป็นนักศึกษาจบใหม่ เริ่มจากการรีเสิร์ชพื้นที่ ชาวอุรักลากัว ชาติพันธุ์ชาวเล ในชายฝั่งอันดามันของไทย ที่เกาะหลีเป๊ะ และเกาะในภูเก็ต โดยได้พูดคุยกับคนข้างในเกาะเยอะมาก แต่ไม่ได้สัมภาษณ์ ถึงปัญหาที่ถูกเวนคืนพื้นที่ หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ (ที่ทำให้เส้นแบ่งพร่าเลือน)
“อยู่ไปนานๆ เริ่มเห็นประเด็นทับซ้อนที่ทำกิน ข้อพิพาทรัฐ หรือแม้แต่อุทยาน ย้อนมาถึงชาติพันธุ์ ปัญหามันซ้อนกันหลายเลเยอร์มากกว่านั้น”
“ปัญหาชาติพันธุ์ถูกเล่าในข้าว ในทีวี ที่ถ้าเปิดก็เห็นได้ แต่มันมีเสียงที่เราสัมผัสไม่ได้ของ ‘วิญญาณบรรพบุรุษ’
“ที่นี้เรารู้สึกสัมผัสได้ เลยพยายามจับจ้องสภาวะนั้น แล้วพยายามเล่าออกมา มันเป็นข้อมูลปฐมภูมิมากๆ ที่ต่างจากที่เขาเล่าออกมา” นายทวีโชคกล่าว
นายทวีโชคเผยด้วยว่า ในส่วนของ ‘กั้ง กับกุ้งมังกร’ มันเป็นภาพสะท้อนของสัตว์ Exotic น้ำลึก เหมือนคนกลุ่มนี้ที่มีความเจ็บปวดมากมาย
“สัตว์น้ำลึกโบราณ มันอยู่ในตู้กระจก ไปไหนไม่ได้ อยู่ในสภาวะถูกกักขัง เพื่อรอเป็นอาหารให้กับคนเป็น metaphor (การเปรียบเปรย) ที่รู้สึกว่าน่าสนใจ เล่าในสิ่งที่ไม่อยู่ในสารคดีทั่วไป อย่างความเจ็บปวดรวดร้าว” นายทวีโชคเผย
นอกจากนี้ ผู้กำกับยังใช้บทกวีของ บังเช (ซักการียา กวีซีไรต์) เพื่อสะท้อนความเจ็บปวดบางอย่างที่เชื่อมถึงกัน ‘สัตว์น้ำลึก’ ที่ถูกกักแต่ยังหายใจได้ ดูแล้วเข้าใจได้ กู่ร้องโดยไม่ต้องตะโกน
สำหรับเรื่องที่สาม ’Midnight Bloom‘ นายวีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ ผู้กำกับสารคดีที่เล่าความรู้สึกลูก ของผู้ที่ถูกบังคับให้สาบสูญ เปิดเผยว่า แต่ก่อนตนทำงานด้านการเขียน แต่ชอบการดูหนัง จึงเริ่มสนใจการเล่าเรื่องในรูปแบบอื่นบ้าง
ไอเดียจากงานเขียน ‘ฉันจะฝันถึงเธอ’ เมื่อมีโปรเจ็กต์ คิดการใหญ่ฯ เลยเสนอเข้าไป
“หนังสั้น 17 นาทีนี้ เป็นส่วนหนึ่งของหนังยาว ‘ฉันฝันถึงเธอ’ ผมสนใจเวลาหลับฝัน สังคมไทยทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้ แล้วมันปรากฏเป็นความฝันได้ยังไง บางคนเป็นเกษตรกรธรรมดา ที่ถูกไล่ที่ ประเด็นคลาสสิกอย่าง ไล่รื้อบ้าน”
เมื่อถามว่า สนิทกับซัปเจ็กต์หลักมากน้อยแค่ไหน (ชัชชาญ บุปผาวัลย์ บุตรชายของ ‘สหายภูชนะ’ ผู้ลี้ภัยที่ถูกพบเป็นศพลอยมาติดฝั่งริมแม่น้ำโขง หน้าพระธาตุพนม) ทำไม นายชัชชาญถึงกล้าเล่า เพราะประเด็นค่อนข้างแหลมคม ?
นายวีรพงษ์เผยว่า รู้จักครั้งแรก ตอนติดต่อสัมภาษณ์ อาจจะด้วยความที่เรื่องราวของเขาถูกนำเสนอในสื่อเยอะมาก เขาจึงเล่าเรื่องราวที่เปราะบางให้เราฟัง
“ความตายของพ่อเขา มันไม่ปกติ ผ่านคำถาม เจ็บปวด ไม่ไว้ใจสื่อ ผมเจอเขาช้า มีสื่อสัมภาษณ์เยอะมากแล้ว แต่มันก็เป็นข้อดีที่ช่วยทำให้เขาเล่าได้คล่องปากมากกว่า” นายวีรพงษ์กล่าว และว่า
เหมือนสารคดี เป็นตัวกลางที่เปิดโอกาสให้เขาได้ทบทวนความสัมพันธ์กับพ่อด้วย ?
นายวีรพงษ์ระบุว่า สิ่งนี้กลับดึงดูด ความสนใจที่แท้จริงของเราคือ ‘ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อ’ ในช่วงที่ยากลำบาก เขาเหมือนดอกไม้ เหมือนชื่อเรื่อง เขาเบ่งบานในช่วงที่ลำบาก เหมือนที่เขาบอกว่า ถ้าอายุ 56 เขาอาจจะมองอีกอย่าง (อาจจะเข้าใจพ่อ (ที่เข้าร่วมเป็น ‘สหาย’ มากขึ้น)
นอกจากนี้ ยังมีผู้สังเกตถึง ‘กบ’ อาหารพื้นถิ่นริมแม่น้ำโขง ที่เป็นเมตารฟอร์ ชวนให้นึกถึง การกระทำที่โหดร้ายต่อเพื่อมนุษย์ ไม่ต่างจากสภาพร่างของ สหายภูชนะ
เมื่อถามว่า การที่เพิ่มเรื่องราวแม่เข้ามา มันช่วยเติมเต็มเรื่องอย่างไร หรือไม่?
นายวีรพงษ์กล่าวว่า มันอาจจะเป็นตัวเปรียบเทียบให้เห็น ’สายตา’ ที่เขามีต่อพ่อ หรือแม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่เข้ารอบ ‘สารคดีไทยสายประกวด’ โดยจะประกาศผลในวันที่ 27 ส.ค.นี้
สำหรับ เทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติ What the Doc! จะมีไปจนถึง 31 สิงหาคมนี้ ที่ Century Movie Plaza Sukhumvit, House Samyan และ BACC รายละเอียดเพิ่มเติมที่เพจ What the Doc
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เทศกาลสารคดีนานาชาติ เล่าแหลมคม ปม ‘ผู้ลี้ภัย’ เกาะชีวิต 3 ผู้ต้องหา ม.112
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th