เปิดไทม์ไลน์: จาก ‘หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย’ สู่วันวินิจฉัยคดีคลิปสนทนา
การเดินทางบนถนนสายการเมืองของ แพทองธาร ชินวัตร เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2564 กับพรรคเพื่อไทย และได้สร้างการยอมรับอย่างรวดเร็วผ่านตำแหน่ง ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้เธอมีภาพลักษณ์และศูนย์กลางของพรรคในการเลือกตั้งปี 2566
ต่อมา ‘แพทองธาร’ ขยับเข้าสู่บทบาทผู้นำเต็มตัว ด้วยการเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ และด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ ‘แพทองธาร’ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของอำนาจบริหาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ท่ามกลางความคาดหวังในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเมืองของแพทองธารต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อเกิดกรณีเผยแพร่คลิปเสียงบทสนทนาระหว่างเธอกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเนื้อหาในคลิปทำให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสม และประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ จนนำไปสู่การที่ 36 สว. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ ได้รวบรวมรายชื่อ สว. เพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบการขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีอีกทาง
นับเป็นอีกครั้งที่ สว. เดินหน้ายื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง หลังจาก สว. ชุดก่อนยื่นถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน จากกรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี
ทำให้ ‘แพทองธาร’ ต้องเจอศึกสองด้าน ไม่เพียงคดีคลิปสนทนาที่อยู่ในการพิจารณาด้านจริยธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ และด้านอาญาของ ป.ป.ช. แต่ ‘แพทองธาร’ ยังมีคดีที่ ป.ป.ช. เตรียมพิจารณา กรณีที่เครือข่ายภาคประชาชนยื่นเรื่องให้ตรวจสอบการโยกงบประมาณวงเงิน 35,000 ล้านบาท ที่ตั้งไว้ให้กับ 5 ธนาคารรัฐเพื่อชำระหนี้ ไปใช้ในโครงการแจกเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ถือเป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่งและวรรคสอง หรือไม่
หาก ป.ป.ช. ส่งต่อเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไม่ว่าบทสรุปของ ‘แพทองธาร’ ในเวลา 15.00 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยจะออกมาว่าไม่ขาดคุณสมบัติ สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อขับเคลื่อนงานต่อ
หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ‘แพทองธาร’ ขาดคุณสมบัติ จะส่งผลให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และประเทศไทยต้องเข้าสู่กระบวนการประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 มาบริหารประเทศต่อไป
เหนือสิ่งอื่นใด คดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. ก็ไม่อาจหลีกหนีพ้น หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้มีความผิด ‘ครม.แพทองธาร’ รวมถึง ครม.เศรษฐา สส. และ สว. จะได้รับผลกระทบ คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรี เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าไม่อยู่ในที่ประชุมขณะที่มีมติ รวมถึงต้องชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 144 กำหนด
ไม่ว่าผลคดีของ ‘แพทองธาร’ จะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำหนดทิศทางอนาคตทางการเมืองของไทยอีกครั้งแน่นอน
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร