ทำไม เกาะบอร์เนียว-บรูไน กำลังเป็น “ขุมทรัพย์ใหม่” ที่ไทยไม่ควรมองข้าม ? ในวันที่อาเซียนท้าทายโลก Decoupling
สมรภูมิสงครามการค้า (Trade war) แรงกดดันของภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) บวกกับการผลักดันนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ “Decoupling” (การแยกตัวทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ) เริ่มส่งสัญญาณใหม่กับนานาประเทศ และโลกธุรกิจ
โดยเฉพาะ “นโยบายรัฐบาล” แต่ละประเทศต้องหันมาวางหมากกลยุทธ์ใหม่
บวกกับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนสงครามภาษีกับจีนและทั่วโลก ซึ่งไทยถูกเก็บอัตราภาษีนำเข้า (Reciprocal Tariffs) จากสหรัฐอเมริกา 19%
“ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก กฎกติกาการค้าโลก เหล่านี้ คือจุดเปลี่ยน ที่ไทย อย่างภาคเอกชนเอง อาจต้องมองหาพาร์ตเนอร์ คู่ค้าใหม่ เพื่อนใหม่ ๆ มาเลเซียและบรูไน จึงน่าจะเป็นตลาดใหม่ ที่ไทยไม่ควรมองข้ามหรือไม่” ชาติชาย พาณิชชีวะ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสายงานการค้าและการลงทุน กล่าวระหว่างเดินทาง
THE STANDARDเป็นหนึ่งใน 2 สื่อไทย ที่ได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย เยือนเกาะบอร์เนียว (ซาราวัก-ซาบาห์) ประเทศมาเลเซีย-บรูไน กับสภาธุรกิจไทย-มาเลเซีย สายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย สำรวจโอกาส ช่องทางการค้า-การลงทุน 2 ประเทศ 6 วัน 5 เมือง
2025 ยุคทองของมาเลเซีย
เมื่อพูดถึงประเทศมาเลเซีย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่ “โดดเด่น” ด้วยขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 37 ของโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน และมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการ “เปิดระบบเศรษฐกิจ” มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย
หากดูสัดส่วนการค้าต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) สูงถึง 130% นับตั้งแต่ปี 2010 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน
แล้วอะไรที่ทำให้มาเลเซียแข็งแกร่ง ?
วรวรรณ วรรณวิล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ หรือ ทูตพาณิชย์ไทยในมาเลเซีย ฉายภาพให้เห็นภาพว่า ก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวมาเลเซียมากนัก กระทั่งเพิ่งมีกระแสช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งปัจจัยที่มาเลเซียสามารถผลักดันประเทศได้ดีและเป็น “จุดแข็ง” ของประเทศ นั่นคือ นโยบายผู้นำ ซึ่งจะสังเกตได้ว่า หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถทำได้ตามนโยบายหาเสียง ซึ่งมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ดึงดูดการลงทุน ชิปเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี พัฒนาคุณภาพชีวิต และการศึกษา
ตลาดอาเซียนไม่ได้มีแค่ “CLMV”
วันนี้ในบรรดาเพื่อนบ้าน มาเลเซีย จึงเป็นประเทศที่ “เนื้อหอม” ซึ่งหากมองมิตินักลงทุนในอดีต มักมองไปที่ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เสียนาม) แต่เวลานี้ CLMV เป็นกลุ่มประเทศ ที่อาจจะกำลังจะเผชิญกับความเสี่ยง จากภายนอกตามการพึ่งพาการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ก็เป็นได้
วรวรรณ กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนของไทยในมาเลเซียว่า แม้นักลงทุนไทยจะเข้ามาลงทุนมาเป็นระยะเวลานานก็จริง แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นบริษัทใหญ่
ขณะที่ขนาดกลางและขนาดเล็กยังน้อยมาก เช่นกลุ่ม CP, PTT ส่วน SCG มาในรูปแบบของ Trader รวมถึงกลุ่มธนาคาร อาทิ แบงก์กรุงเทพ ซึ่งมาลงทุนในลักษณะสนับสนุนการลงทุน (Investment Bank) ไม่ใช่รูปแบบของ commercial bank เสียมากกว่า
ส่วนการลงทุนขนาดเล็กก็จะเป็นร้านอาหาร ขนาดกลางส่วนใหญ่เป็นเรสเตอรองด์
แฟรนไชส์ อย่าง ชาตรามือ อื่นๆ มีการรับจ้างผลิต (OEM) อยู่บ้าง
สิ่งหนึ่งที่น่าคิด “มาเลเซียเป็นเพื่อนบ้านใกล้ไทย แต่คนไทยรู้จักอย่างลึกซึ้งน้อยมาก นึกอยากเที่ยว งบจำกัด มาเลเซียอาจไม่ใช่ปลายทางคำตอบ ขณะที่ชาวมาเลเซีย ชื่นชมคนไทย รักคนไทย วัฒนธรรมไทยอย่างมาก”
ที่ผ่านมา น้อยมากที่นักธุรกิจจะมีการพูดถึงตลาดมาเลเซีย ส่วนมากจะมองไปที่จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แน่นอนว่า เหตุผลหลักคือกำลังซื้อประเทศนั้นๆมีมากกว่า
แต่ในขณะเดียวกัน ในเมื่อมาเลเซียชื่นชอบสินค้าไทย ซึ่งมาจากการบินมาเที่ยวไทย แล้วซื้อกลับมา และตามเทรนด์ ที่สำคัญ นิสัยหนุ่มสาว คนมาเลย์ “มีหัวคิดการค้า” ตลอดเวลา
ดังนั้น นอกจากอาหารฮาลาล เครื่องดื่ม ยังมีโอกาสที่ไทยน่าขยายการลงทุนในสินค้า ของตกแต่งบ้าน กลุ่มเสื้อผ้า ได้อีกมาก
“รัฐซาบาห์-ซาราวัก” โอกาสใหม่ บนเกาะบอร์เนียว
อีกฟากฝั่ง “เกาะบอร์เนียว”รัฐซาราวัก หรือฝั่งตะวันออก ส่วนใหญ่คนไทย หรือแม้แต่ภาคธุรกิจไทย แทบไม่รู้จัก แต่หากดูจุดเด่นที่มาเลเซียมี แต่เพื่อนบ้าน อย่างไทยมีไม่มากพอ นั่นคือวัยแรงงานเพราะไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่มาเลเซียทั้ง 2 รัฐ เต็มไปด้วยประชากรวัยหนุ่มสาว
“ถ้าไทยอยากมีเพื่อนเพิ่ม ก็ควรมองหาประเทศที่มีกลุ่มเจเนอเรชั่นใหม่ๆ แน่นอนว่า ที่นี่ธุรกิจไทย จึงไม่จึงปล่อยโอกาส และลังเล”
ขณะที่หากมองมิติ อุตสาหกรรมใหม่ มาเลเซียประกาศชัดเจนว่าจะมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะเห็นว่าบริษัทระดับโลกมาลงทุนที่นี่
“ปัจจัยหลักๆ คือ ชาวมาเลเซียสามารถสื่อสารได้ ทั้งภาษาจีน อังกฤษได้ดี ทักษะแรงงานสูง ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคไม่สูงจนเกินไป”
นอกจากนี้ ในรัฐยะโฮร์ทางตอนใต้ของมาเลเซีย จะเห็นว่า สิงคโปร์และมาเลเซียเพิ่งลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการ จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ “ยะโฮร์”บนพื้นที่ชายแดน 2 ประเทศ ที่มีการค้าผ่านแดน (Cross Border)
“ความน่าสนใจของเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ คือ เนื่องจากมาเลเซียเป็นการปกครองแบบสหพันธรัฐ การสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษจึงได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลกลาง ให้แพคเกจดึงดูดลงทุน รวมถึง รัฐนั้นๆก็สามารถอัดสิทธิประโยชน์เพิ่มเข้าไปอีก”
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เกิดจากแรงผลักดันจากภาคเอกชนเป็นหลัก เป็นเขต Free Zone หากสร้างแล้วเสร็จก็จะมีอุตสาหกรรมใหม่ 12 คลัสเตอร์ จ้างงานให้กับ 2 ประเทศ เป็นยุทธศาสตร์โลจิสติกส์สำคัญของอาเซียนอีกด้วย”
เวทิต โชควัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสายงานอาเซียนและโลจิสติกส์ บอกว่า การเดินทางตลอด 6 วัน ทำให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยทั้ง 17 บริษัท สนใจมาดูตลาดนี้ไม่น้อย ซึ่งต้องยอมรับว่า โลก Decoupling เป็นส่วนสำคัญในการมองหาตลาดใหม่ๆ ซึ่งเกาะบอร์เนียว ยังมีสินค้าไทยน้อยมาก
“ด้วยกำลังซื้อของประชากรบรูไน และรัฐซาราวัก เป็นตลาดที่น่าสนใจ แม้ว่ายังเจอปัญหาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ซึ่งอยู่ระหว่างสร้างถนนเพิ่ม แต่การมาที่นี่ทำให้เราพบว่า เขาต้องการสินค้าไทย ตอนนี้อยู่ที่วอลุ่ม ว่าจะทำได้อย่างไร”
“เมืองกูชิง” ใกล้พรมแดนอินโดนีเซีย กำลังจะเป็นที่ตั้งเมืองหลวงใหม่ “Nusantara”
รวมถึงในอนาคต เกาะแห่งนี้จะติดกับเมืองหลวงเมืองกูชิงก่อนเป็นจุดที่สอง ซึ่งเมืองกูชิง มีที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนอินโดนีเซีย (เขต Kalimantan) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นที่ตั้งของ “เมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย (Nusantara)” อีกไม่นาน การค้าขายและการขนส่งของที่นี่จะเติบโตอย่างรวดเร็วมาก อย่างไรก็ตาม จากที่ดูโลจิสติกส์ก็ต้องพิจารณาความพร้อม รวมถึงการค้าปลีกที่น่าสนใจอย่างมาก
“จุดเริ่มต้นใหม่ ๆ ควรจะเป็นสินค้าใหม่ของไทยที่นอกจากข้าว ยังมีโอกาสใหม่อย่าง อาหารสัตว์ ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากจากนักธุรกิจท้องถิ่นที่ได้เจอ ยังมีอาหารแปรรูป อาหารอื่นๆ มะพร้าว เครื่องปรุงรส ขนม ถ้ารวมวอลลุ่มได้แล้วมาทำตลาดเพิ่มอีก จะดีมาก”
ทั้งนี้ แม้ไทย-มาเลเซีย มีการค้าชายแดนที่ดี แต่ภาคอื่นๆ พบว่า สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือ “รสนิยม” รสชาติ ดั้งเดิมเปลี่ยนไป ผู้คนสามารถทานได้หลากหลายรสชาติ นักท่องเที่ยวมาที่ ซาบาร์ บรูไน ก็ถือว่า ไม่น้อย
“ต่อจากนี้ไป อาเซียนจะยิ่งโดดเด่น ยุโรป เกาหลี จีน หลั่งไหลมาตลาดอาเซียนหมด คงจะเป็นเรื่องน่าเสียมากถ้าอาเซียนไม่ขายกันเอง”
ที่นี่กำลังพัฒนาหลายๆด้าน นี่คือมายด์เซตหลักที่ได้พบระหว่างการเดินทาง เราได้เห็นโอกาส เมื่อไหร่เหมาะ เมื่อไหร่คุ้ม เพราะโลจิสติกส์ที่ดี คือการขนสินค้าทางเรือเข้ามา ต้องมีสินค้าเที่ยวกลับได้ เรื่องนี้ต้องบริหารจัดการทั้งระบบให้ดี ทั้งต้นทุน แรงงาน อย่างไรก็ตามรัฐบาลท้องถิ่น นักลงทุน พาร์ทเนอร์ ที่นี่ “พร้อมอ้าแขนรับ”
Firdausi Suffian ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Invest Sabah Berhad สะท้อนบทบาทของ Invest Sabah ในฐานะหน่วยงานหลักของรัฐว่า “เรามุ่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย Firdausi บอกว่า คนที่นี่ ชื่นชอบอาหารไทย คนไทย วัฒนธรรมไทย นี่อาจเป็นโอกาส อุตสาหกรรมฮาลาล เกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ ของไทย ได้อีกมาก
ส่องเสน่ห์ “รัฐซาบาห์-ซาราวัก-บรูไน” กับเศรษฐกิจอาเซียนตะวันออก (BIMP-EAGA)
รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน (ASEAN Foundation) ฉายภาพความสำคัญ อีกว่า
”การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลก (global supply chain) และถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของดุลอำนาจการค้าของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทั้งจีนและสหรัฐฯ“
ถึงเวลาหรือยังที่ไทยควรจะเป็นทีมแสวงหาโอกาสใหม่ ที่ไม่พึ่งสหรัฐฯ เพียงตลาดเดียว?
2 รัฐ มาเลเซียฝั่งตะวันออก อย่างซาบาห์และซาราวักที่ติดกับบรูไน เป็นพื้นที่ที่ไม่ควรมองข้าม
แม้เทียบเท่าได้กับกรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรเพียง 4.7 แสนคน หลายคนจึงมองข้ามโอกาสนี้ไป
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว รัฐซาบาห์และซาราวักเป็นเมืองที่กำลังได้รับความสนใจซึ่งได้รับพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลกลางมาเลเซีย ซึ่งทั้ง 2 รัฐมีความมั่นคงและศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง”
อีกทั้ง รัฐซาบาห์และซาราวักถือเป็นศูนย์กลางทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยวภายใต้เขตพัฒนาเศรษฐกิจอาเซียนตะวันออก (BIMP-EAGA) ประกอบไปด้วย ประเทศบรูไนดารุสซาลาม- อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์”
“ระเบียงเศรษฐกิจบรูไน-กวางสี” เชื่อมยุทธศาสตร์ Belt and Road
ศักยภาพของประชากรรวมกันกว่า 77 ล้านคน รัฐซาบาห์และซาราวัก มีความร่วมมือเหล่านี้ ยิ่งเอื้อต่อการดำเนินงานกิจการและธุรกิจต่างๆ เข้ามา
ไม่ว่าจะเป็น ท่าเรือขนาดใหญ่มัวร่า “Muara Port” เป็นท่าเรือสมัยใหม่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างขยายพื้นที่ หลังยุทธศาสตร์ Belt and Road ของจีนเข้ามา จึงยิ่งเพิ่มบทบาท การลงทุน “ระเบียงเศรษฐกิจบรูไน-กวางสี” (Brunei-Guangxi Economic Corridor หรือ BGEC)
โดยเป็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจทวิภาคีระหว่างเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ทางตอนใต้ของจีน และบรูไน
โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการค้าและอุตสาหกรรมชีวภาพในทั้งสองภูมิภาค ดังนั้น สินค้าจีนที่ลงมาที่นี้
เรียกได้ว่าเป็นปากประตูสู่อาเซียนเข้าเวียดนาม เชื่อมท่าเรือมาที่บรูไน การเข้ามาของจีน จีนเชื่อมพื้นที่ซาราวัก ซาบาร์ บรูไน ส่งออกไปยังจีน ผ่านระเบียบเศรษฐกิจแห่งนี้ นั่นเอง
ขณะที่การทำธุรกิจในบรูไน นโยบายของรัฐ มุ่งกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ (LNG) ที่สร้างรายได้ประเทศเป็นหลักกระจายไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ดังนั้น นโยบายส่งเสริมบางโครงการ รัฐบาลจึงอัดฉีดเงินทุน ให้เข้ามาทำธุรกิจเต็มที่ ทำให้เกิดโอกาสอีกมาก
โดยเฉพาะ เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy)คือ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐานการใช้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน การจัดการพลังงานทางเลือก การจัดการของเสียทางทะเล การท่องเที่ยว ประมง
จะเห็นว่าบริษัทสิงคโปร์ร่วมทุนกับบรูไนเกิดเป็น การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือ “Aquaculture” เป็นการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี จากปลาตัวเล็กวิจัยพันธุ์เป็นตัวใหญ่ สร้างรายได้หลายเท่าตัว
ยังไม่นับรวมพื้นที่นอกชายฝั่งที่บรูไนมีอาณาเขตกว้างขวาง บรูไนก็ให้ทุนสนับสนุน ดังนั้น หากคนไทยเก่งและเชียวชาญเกษตรและประมง ก็สามารถขยายโอกาสลงทุน และไม่ควรพลาด
“บรูไน” กำลังซื้อสูง
บุศรา กาญจนาลัย เอกอัครราชทูต ณ บันดาร์เสรีเบกาวัน กล่าวเสริมอีกว่า เมื่อเอ่ยถึง “ประเทศบรูไน” เชื่อว่าหลายท่าน จินตนาการแรกที่ มักจะนึกถึงคือ ประเทศเล็กๆในอาเซียนที่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจสูง ร่ำรวยไปด้วยแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ มีรัฐสวัสดิการที่ดีเลิศ
แต่ทราบหรือไม่ว่า ชาวบรูไนชื่นชอบสินค้าไทยมาก ทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์ เมื่อตลาดเปลี่ยนทิศ สงครามการค้าไม่แน่นอน ที่นี่จึงเป็นโอกาสของสินค้าไทยที่ควรมาขยายตลาดในบรูไน ซึ่งประชากรมีกำลังซื้อสูง
รศ.ดร.ปิติ ทิ้งท้ายว่า ท่ามกลางสงครามการค้า จากนี้ ไทยคงจะพึ่งพาเพียงสหรัฐอีกไม่ได้ เราต้องกลับมามองว่า โอกาสใหม่ มีอะไรอีก
จบทริปการเดินทาง มาเลเซีย เกาะบอร์เนียว ซาราวัก ซาบาร์ บรูไน ครั้งนี้ อาจไขคำตอบได้ไม่มากก็น้อยว่า ทำไม บรูไน-มาเลย์ ฟากฝั่งเกาะบอร์เนียว กำลังเป็นขุมทรัพย์ใหม่ ยุค 2025 ที่โลกแบ่งขั้ว “Decoupling”
“อาจเป็นจิกซอร์ตัวสำคัญ ที่นักลงทุนไทย ไม่ควรมองข้ามอีกต่อไป”
ภาพ : zorazhuang , imran kadir photography, omersukrugoksu,
Ian.CuiYi /Getty images