"Negative Income Tax" เก็บภาษีคนรวย ช่วยคนจน จริงหรือไม่ ?
"Negative Income Tax" ที่กระทรวงการคลังเตรียมประกาศใช้ในปี 2570 เป็นกระแสที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในหลากหลายประเด็น และเป็นการตั้งข้อสงสัยว่า ภาษีรูปแบบใหม่นี้จะเป็นการดึงคนเข้าสู่ระบบ ทำให้สามารถจัดเก็บรายได้จากคนมีรายได้สูงที่ไม่ยื่นภาษี และสามารถนำเงินมาช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจริงหรือไม่
การประกาศใช้ "Negative Income Tax" อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคยกับคนไทย โดยเฉพาะในประเด็นที่บังคับให้คนไทยทุกคนต้อง "ยื่นภาษี" เพื่อที่จะสามารถได้รับสวัสดิการจากภาครัฐ ทำให้เกิดความกังวลจากผู้มีรายได้น้อย แต่อาจจะไม่เคยยื่นภาษีว่า จะต้องเสียภาษีหรือไม่ หรือถ้าเป็นผู้ทำอาชีพอิสระ หรือเป็นพ่อค้าแม่ค้าทั่วไป จะประเมินรายได้กันอย่างไร เพราะไม่มีหลักฐานในการรับ และแสดงรายได้ ตลอดจนเกิดการตั้งคำถามว่ารัฐกำลังจะรีดภาษีจากคนรายได้น้อยอยู่หรือไม่
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า การยื่นภาษีนั้นเป็น "หน้าที่" ของคนไทยทุกคนอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจแต่อย่างใด โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ระบุไว้ในหมวดที่ 4 ซึ่งเป็นหมวด "หน้าที่ปวงชนชาวไทย" ในมาตราที่ 50 (9) ว่าปวงชนชาวไทยมีหน้าที่ "เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ" นั่นก็หมายความว่าประชาชนคนไทยจำเป็นที่จะต้องยื่นภาษีอยู่แล้วเป็น "หน้าที่" เพราะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็ถือว่าเป็นภาษีประเภทหนึ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องเสีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการยื่นภาษี จะเป็นการเสียภาษี เพราะถ้าผู้ยื่นภาษีมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็จะไม่ต้องเสียภาษี
โดยข้อมูลของกระทรวงแรงงานระบุว่าในปี 2567 ประเทไทยมีจำนวนผู้มีงานทำอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านคน แบ่งเป็นแรงงานในระบบประมาณ 19 ล้านคน และแรงงานนอกระบบประมาณ 21 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 71 ล้านคน แต่ข้อมูลจากกรมสรรพากรระบุว่า มีผู้ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพียง 11.9 ล้านคน และมีผู้ที่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษีประมาณ 4 ล้านคนเท่านั้น คิดเป็นประมาณ 10% ของผู้มีงานทำทั้งหมด
แต่ในขณะเดียวกันมีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากกว่า 13 ล้านคน ซึ่งบางส่วนมีรายได้เกินเกณฑ์แต่ยังคงรับสิทธิ์อยู่ ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้อาจจะไม่มีประทธิภาพเท่าที่ควร และการจัดเก็บรายได้อาจจะไม่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือสวัสดิการที่ให้กับประชาชนอาจจะไม่ตรงกับกลุ่มที่มีความต้องการจริง ๆ ซึ่งอาจจะส่งผลต่องบประมาณรายจ่ายด้านสวัสดิการต่าง ๆ ที่ไม่เพียงพอ อาจจะผลกระทบต่อฐานะทางการเงินการคลังของประเทศได้ในอนาคต
โดยข้อมูลจาก World Bank ระบุว่าในปี 2023 ประเทศไทยมีรายได้จากภาษีต่อ GDP อยู่ที่ 15.4% อยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการชั้นนำอย่างเดนมาร์กที่มีรายได้จากภาษีต่อ GDP อยู่ที่ 31.4% สวีเดน 27.6% และนอร์เวยืที่ 27.1%
ซึ่งแน่นอนว่าการที่กระทรวงการคลังประกาศใช้นโยบาย "Negative Income Tax" หรือ "ภาษีเงินได้ติดลบ" ซึ่งแต่ต่างจากรูปแบบภาษี "Progressive Income Tax" หรือ "Positive Income Tax" ที่ประเทศไทยใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็นับว่าเป็นการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีให้กับประเทศไทย ที่คาดว่าจะสามารถดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีได้ครั้งใหญ่
เพราะฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจกับ Negative Income Tax กันก่อนว่าคืออะไร Negative Income Tax ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 1960 โดยหนึ่งในนั้นคือ Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เพื่อแก้ปัญหาสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน และไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นระบบ Earned Income Tax Credit หรือ EITC หรือเครดิตภาษีรายได้ที่ช่วยให้คนทำงาน และครอบครัวที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางได้รับการลดหย่อนภาษี ซึ่งในประเทศไทยก็มีการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่ต่างประเทศก็มีการใช้ภาษีในรูปแบบนี้อยู่แล้ว เช่น สหรัฐฯ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร อิสราเอล เกาหลีใต้ สวีเดน ออสเตรเลีย แคนาดา และสิงคโปร์ ถึงแม้ว่าด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจแต่ละประเทศที่แตกต่างกันทำให้รูปแบบที่นำมาประยุกต์ใช้นั้นไม่เหมือนกัน แต่หลักการของการให้เงินกับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ยังคงเหมือนเดิม
เช่น Workfare Income Supplement หรือ WIS ของสิงคโปร์ กำหนดใหผู้ที่ได้รับสิทธิคือผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป และครอบครองที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างที่มีมูลค่าไม่เกินประมาณ 320,000 บาท โดยจะโอนเงินส่วนหนึ่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ได้ให้ผลตอบแทนเป็นเงินโดยตรง เพื่อส่งเสริมการออมของคนในประเทศ
ส่วน Earned Income Tax Credit หรือ EITC ของสวีเดนเน้นไปที่การเพิ่มอุปทานแรงงานในประเทศ โดยจำนวนเงินสวัสดิการที่ได้รับจะเพิ่มขึ้นตามรายได้เพิ่มขึ้น ตราบใดที่รายได้ยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
ส่วน Negative Income Tax ในไทยจะเเป็นระบบที่กำหนดให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แม้มีรายได้น้อยกว่าฐานที่ต้องเสียภาษีคือ 150,000 บาทต่อปี เพื่อให้รัฐใช้ข้อมูลรายได้จริงในการคัดกรองสิทธิ์สวัสดิการอย่างแม่นยำ ตรงเป้าหมาย หากรายได้สูงกว่าเกณฑ์จะต้องเสียภาษีตามปกติ แต่หากต่ำกว่าเกณฑ์จะไม่เสียภาษี และยังได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐแทน
โดยกระทรวงการคลังเตรียมใช้ระบบนี้เป็นเครื่องมือปฏิรูประบบภาษี และสวัสดิการ ลดความซ้ำซ้อนของโครงการช่วยเหลือที่มีอยู่กว่า 20 รายการในปัจจุบัน เชื่อมฐานข้อมูลรายได้ประชาชนเข้าด้วยกัน ทั้งนี้การเชื่อมโยงข้อมูลยังครอบคลุมการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อบูรณาการข้อมูลทางการเงินและข้อมูลด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นข้อมูลหลักในการจัดสวัสดิการอย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุดขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้รัฐจัดเก็บภาษีจากผู้มีรายได้สูงที่ไม่เคยอยู่ในระบบมาก่อน ทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องปรับขึ้นอัตราภาษี
ซึ่งเมื่อมีการนำ Negative Income Tax มาใช้จะเกิดผลกระทบต่อประชาชนแตกต่างกันตามกลุ่มรายได้ต่าง ๆ โดยกลุ่มที่เสียภาษีอยู่แล้ว ก็แทบที่จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่กระบวนการตรวจสอบรายได้จะเข้มงวดขึ้น
ส่วนกลุ่มรายได้พอสมควรแต่ไม่เคยยื่นภาษี ก็จะถูกดึงเข้าสู่ระบบ และอาจต้องเริ่มเสียภาษีหากรายได้เกินเกณฑ์
ส่วนกลุ่มรายได้น้อย หรือตกหล่นจากสวัสดิการ จะได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเมื่อรายได้ถูกบันทึกในระบบ รัฐสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือได้ตรงกลุ่มมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า Negative Income Tax ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ที่ยื่นภาษีเป็นปกติ แต่อาจจะส่งผลกับผู้ที่มีรายได้ แต่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้สูงแต่ไม่เคยเสียภาษี ก็อาจจะต้องถูกเรียกเก็บภาษี ซึ่งนอกเหนือจากทำให้รัฐฯสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มสูงขึ้น ยังสามารถช่วยเหลือ หรือให้สวัสดิการที่เหมาะสม และตรงกับกลุ่มที่มีความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เช็กรายชื่อ ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการกระทรวงการคลัง 6 ราย
- 'คลัง'รายได้ 8 เดือน วูบ 1.2 หมื่นล้าน ภาษีรถยนต์,นิติบุคคล,นำเข้า ต่ำเป้า
- สรรพากร-ปอศ. บุกจับเครือข่ายออกใบกำกับภาษีปลอม เสียหายนับ 1,000 ล้าน
- "สรรพากร" คืน "ภาษีเงินได้" บุคคลธรรมดาแล้วร้อยละ 83 เร่งคืนที่เหลือให้เร็วที่สุด
- ยื่นภาษี โค้งสุดท้าย! หมดเขตยื่นแบบออนไลน์ 8 เมษายนนี้