ต้อม ยุทธเลิศ ฟาดเดือด พิง ลำพระเพลิง ปมลิขสิทธิ์หนัง บุปผาราตรี
กลายเป็น ดราม่า เดือด! สะเทือนวงการภาพยนตร์ หลังค่ายดัง Be On Cloud เปิดตัวภาพยนตร์เรื่องใหม่ ที่รีบูทมาจากภาพยนตร์สยองขวัญในตำนานอย่าง “บุปผาราตรี” โดยใช้ชื่อว่า “บุปผาราตรีมาลีรัตติกาล” ซึ่งกำกับโดย พิง ลำพระเพลิง ร่วมกับ ปอนด์ กฤษดา เจ้าของค่าย และมีนักแสดงชื่อดังมากมาย มาร่วมรับบทบาทต่างๆ
แต่ต่อมาภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเกิดมีปัญหา ทำให้ต้องเปลี่ยนทีมงาน และนักแสดงยกทีม ก่อนจะกลับมาดำเนินการสร้างอีกครั้ง โดยได้ แจ๊ส ชวนชื่น มาแสดง พร้อมควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ และกำกับ ร่วมกับ ปอนด์ กฤษดา และ ดร.กอล์ฟ ผู้เขียนบทจากภาพยนตร์เรื่อง “ธี่หยด” พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “บุปผา The Movie” และมีการระบุว่า Original film by Be On Cloud ทำเอาแฟนภาพยนตร์ต่างก็สงสัยว่าทำไม ถึงต้องเปลี่ยนชื่อหนัง และเพราะอะไร พิง ลำพระเพลิง ถึงไม่ได้กำกับเรื่องนี้ต่อแล้ว?
จนกระทั่ง ต้อม ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับ บุปผาราตรี ได้ออกมาโพสต์เดือดผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว อ้างตัวเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จักวาลของภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ผู้เดียวบนโลกใบนี้! ซึ่งไม่เคยอนุญาติให้ใครเอาไปทำภาคต่อ Reboot หรือ Remake ใดๆ จนทางค่าย Be On Cloud ต้องออกมาร่อนจดหมาย ยืนยันว่าทางค่ายได้ซื้อลิขสิทธิ์มาจาก บริษัท ฟิล์มรีพับบลิค จำกัด อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ได้ทำภาคต่อ บุปผาราตรี แต่อย่างใด แต่ใช้ชื่อและเค้าโครงเรื่องที่ได้รับอนุญาตมาตีความใหม่ โดยจะใช้ฟ้อนต์ใหม่เพื่อไม่ให้สื่อถึง บุปผาราตรี เลย
งานนี้ ต้อม ยุทธเลิศ จึงได้ออกมาเปิดสัญญาบางส่วนผ่าน x อีกทั้งยังมีการออกมาโพสต์เผยถึงที่มาในการในการมอบลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว โดยระบุว่า เมื่อประมาณ 1 ปีก่อน พิง ลำพระเพลิง โทรมาหาตนแล้วถามว่า “ถ้าจะขอใช้ชื่อ บุปผาราตรี ‘เฉยๆ’ คิดเงินเท่าไหร่” ตนจึงถามกลับไปว่า “แล้วทำไมไม่คิดใหม่” ซึ่งคำตอบที่เขาได้จาก พิง คือ “ถ้าคิดใหม่นายทุนจะไม่ให้เงิน” แต่ตนเห็นถึงความเป็นเพื่อน จึงเซ็นสัญญาให้นำไปใช้ได้ในเวลา 2 ปี โดยมีข้อแม้ว่า “หนังที่จะลงทุนจะ ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไรก็ตาม ‘พิง’ ต้องเป็นผู้กำกับเท่านั้น”
ต้อม เล่าต่อว่า หลังจากนั้นพักใหญ่ พิง ติดต่อมาหาตนอีกครั้ง โดยบอกว่า “หนังยังไม่ได้เปิดกล้องเพราะทุนเดิมไม่พอ ตอนนี้กำลังขอทุนใหม่ แต่นายทุนขอแก้สัญญา ขอใส่ชื่อตัวเองต่อท้ายชื่อนายทุนเดิมในการถือครองลิขสิทธิ์ร่วม” ตนก็ได้เซ็นให้เพราะว่าสงสารเพื่อน แต่สุดท้ายทางค่ายเปิดตัวหนังยิ่งใหญ่ แต่กลับไร้ชื่อ พิง ตนจึงรับไม่ได้ในจุดนี้
และต่อมา ต้อม ก็ได้ออกมาโพสต์ประโยคสนทนาที่อ้างว่าคุยกับ พิง ผ่าน x โดยเผยว่า
ยุทธ (ต้อม) : เกิดอะไรขึ้น?
พิง: กูไม่ได้กำกับแล้ว
ยุทธ (ต้อม): นี่มันรู้หรือเปล่า ไม่มีมึงหนังไปต่อไม่ได้
พิง: เขาบอก หนังไปต่อได้โดยไม่ต้องมีกู
ยุทธ (ต้อม): ไอ่สัx
พิง: ใจเย็น มีอะไรให้กูช่วยไหม?
ยุทธ (ต้อม): มึงจะช่วยควxอะไรได้ โดนขนาดนี้ยังเสือxไปกดไลค์ทันอยู่เลย
ซึ่งต่อมา พิง ก็ได้แชร์โพสต์ประโยคสนทนาที่ ต้อม เขียน ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมระบุว่าไม่ใช่เรื่องจริง โดย พิง กล่าวว่า “กูสาบานด้วยชีวิตกู ชีวิตเมียกู ชีวิตลูกกู ถ้ากูพูดสิ่งที่เห็นในโพสต์นี้แม้แต่คำเดียว ให้กูตายห่าทั้งโคตร ใครก็ตามที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา มึงกล้าไปวัดพระแก้วกับกู แล้วสาบานด้วยชีวิตลูกมึงที่เหลือไหม” ก่อนจะโพสต์อีกว่า ” ถึงผู้กำกับเลว มึงฟังกูนะ กูไม่ได้อัดเสียงที่กูคุยกับมึงหรอก กูไม่คิดเหี้xกับใครขนาดนั้น กูคุยกะมึงที่หน้าบ้าน หลังที่มีกล้องวงจรปิด กูกำลังติดต่อเขาอยู่ มึงฟังกู กูเขียนบทมาสามสิบปี สิ่งที่กูจะทำต่อไปคือ กูจะไปหาตำรวจไซเบอร์ เบอร์มึงอยู่ในเครื่องกู ถ้าเสียงจากกล้องวงจรปิดไม่ชัดพอ กูจะไปขอเสียงจากตำรวจไซเบอร์ มึงฟังกูอีก กูจะไปกราบเท้าขอออก รายการโหนกระแส ถ้ามึงแน่จริงว่าไม่ได้ตอแหxมาเจอกับกู ช่วยกันแชร์ให้ถึง โหนกระแส ทีครับทุกคน มึงเห็นอนาคตมึงหรือยัง ไอ้สัx”
งานนี้ทำเอา ต้อม เดือดอีกครั้ง ออกมาโพสต์ผ่าน x ถึง พิง โดยกล่าวว่า “มึงมาแบบนี้ มึงไม่ใช่เพื่อนกูละ ชัดเจนว่ามึงคือศัตรู ศัตรูผู้สมคบคิดกับนายใหม่ร่วมกันฉ้อโกงกูตั้งแต่แรก งั้นมึงพานายมึงมารายการด้วย กูอยากเจอ แล้วการที่มึงดึงลูกกูที่เสียไปเข้ามาเกี่ยว หลังจบรายการมึงต้องกราบขอโทษเขาต่อหน้ากู ไม่อย่างนั้นกูจะกระทืบมึงให้จบดิน”
ด้าน พิง ก็ได้ลบโพสต์ก่อนหน้าออกไป ก่อนจะทิ้งท้ายท้ายว่า “ผมไม่อยากจำสิ่งที่ไม่สบายใจ ขอโทษที่โพสท์ให้รวมคนมาเกลียดในสิ่งเดียวกัน ที่เหลือเป็นเรื่องของกฏหมายครับ”
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก Hollywood Thailand ได้ออกมาอ้างตัวว่าเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เรื่อง บุปผาราตรี ทั้ง 2 ภาค โดยกล่าวว่า “เเจ้งทราบ…เรื่องสิทธิ์ตัวภาพยนตร์ ลิขสิทธิ์ ‘บุปผาราตรี’ ภาพยนตร์สยองขวัญระดับตำนาน ทั้ง 2 ภาค เป็นของ Hollywood Thailand จากการซื้อลิขสิทธิ์มาจาก บริษัท แมงป่อง จำกัด (มหาชน)”
เอาล่ะค่ะงานนี้ จะไปจบลงที่ตรงไหน ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์เรื่อง บุปผาราตรี ตัวจริง เราคงต้องรอติดตามกระบวนการทางกฎหมายกันต่อไป หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม แอดจะนำมารายงานให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง