รบ.เตือนประชาชนสแกนม่านตาแลกรับเงินอันตรายได้ไม่คุ้มเสีย
รัฐบาล เตือน ประชาชน สแกนม่านตา แลกรับเงิน อันตราย ได้ไม่คุ้มเสีย เสี่ยงข้อมูลรั่วไหล ส่งผลกระทบระยะยาวในอนาคต
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมถือเป็นกำลังที่มีความสำคัญ และมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ของทั้งภาคธุรกิจและชีวิตประจำวัน อาทิ การดำเนินธุรกิจ การสื่อสาร การศึกษา การทำงาน และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว
ทำให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่หลากหลายจนมีความครอบคลุมไปจนถึงด้านความปลอดภัย อย่างการเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากของระบบ “การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ (Biometrics)” ผ่านรูปยืนยันตัวตนด้วยการสแกนลายนิ้วมือ
การจดจำใบหน้า หรือไปจนถึงเทคโนโลยีล่าสุดอย่างการสแกนม่านตา แต่ในขณะเดียวกันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ได้สร้างความท้าทายใหม่ ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยล่าสุดจากข้อมูลของสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) มีการรายงานว่า พบการชักชวนให้ประชาชนสแกนม่านตาแลกรับเงิน 500 – 1,000 บาท ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยอ้างถึงว่าจะไปแลกเหรียญคริปโต ซึ่งผู้ที่สแกนม่านตาจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินรายละ 1,000 บาท ภายใน 24 ชั่วโมง ขณะที่ผู้แนะนำสมาชิกจะได้รับเงิน 500 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 10 ราย
นายอนุกูล กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลถือเป็นสิ่งที่มีมูลค่าเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ อย่างเช่น ลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้า การจดจำเสียง และส่วนสำคัญที่สุดอย่าง "ม่านตา" ที่ถือว่าเป็นข้อมูลทรัพย์สินดิจิทัลส่วนบุคคลที่มีมูลค่าสูงสุด เนื่องจากยากต่อการเปลี่ยนแปลง มีความเฉพาะตัวเป็นอย่างยิ่ง โดยสามารถนำไประบุและยืนยันตัวตนของบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างเฉพาะเจาะจง
ดังนั้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้เท่าทันต่อความสำคัญของความปลอดภัยที่เหมาะสม รัฐบาลขอย้ำว่า ข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลขั้นสูงสุด การยินยอมให้เก็บ หรือสแกน จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความเสี่ยง ดังนี้ 1. การรั่วไหลของข้อมูล หากข้อมูลรหัส Iris Code ที่ถูกสร้างขึ้นเกิดการรั่วไหล แฮกเกอร์หรือผู้ไม่หวังดีอาจนำข้อมูลนี้ไปใช้ในทางที่ผิดได้ในอนาคต
2.การถูกสวมรอย ข้อมูลม่านตาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ หากถูกขโมยไป อาจนำไปสู่การสวมรอยทำธุรกรรมทางการเงินหรือเข้าถึงบริการต่างๆ ที่ใช้ และ 3.การสร้าง Deepfake ข้อมูลชีวภาพสามารถนำไปใช้ในการสร้าง Deepfake เพื่อก่ออาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อนและจับตัวได้ยาก
"ข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทอ่อนไหว ซึ่งการเก็บรวบรวม การใช้ หรือการเปิดเผยจะต้องมีความเข้มงวด ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สเปน บราซิล อินเดีย และเยอรมนี ยังไม่อนุญาตให้มีการสแกนม่านตาเพื่อเก็บข้อมูลบุคคลในลักษณะนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลในระดับสากลและจากรณีดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้น รัฐบาลขอให้ประชาชนตระหนักว่าข้อมูลส่วนบุคคลทางชีวภาพ ที่ได้ทำการแลกเปลี่ยนกับเพียงผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย อาจได้ไม่คุ้มเสีย หากเกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต อาจเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้และไม่อาจจะสามารถแก้ไขได้อีกเลย"
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews