Meta ชะลอรับคนด้าน AI ปรับโครงสร้างทีมใหม่ หลังใช้จ่ายมหาศาล
เมตา (Meta) บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ประกาศหยุดการรับบุคลากรใหม่เข้าสู่แผนกเอไอ หลังจากใช้เงินทุ่มซื้อคนเก่งด้านปัญญาประดิษฐ์อย่างมหาศาลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การหยุดรับสมัครครั้งนี้มีผลตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างองค์กรภายใน
โฆษกของเมตาให้ข้อมูลกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า การหยุดจ้างงานครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาณล่าถอย แต่เป็นการจัดระเบียบองค์กรขั้นพื้นฐาน เพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาระบบซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์ (Superintelligence) หรือเอไอที่มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์
จ่ายโบนัสถึง 100 ล้านดอลลาร์
ตลอดปีนี้ เมตาใช้เงินมหาศาลในการดึงคนเก่งจากบริษัทเอไออื่นๆ มีการเปิดเผยว่ามีข้อเสนอที่รวมโบนัสเซ็นสัญญาสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์ (กว่า 3.5 พันล้านบาท) เพื่อแย่งตัวนักวิจัยและวิศวกรชั้นนำ
หนึ่งในดีลใหญ่ที่สุดคือ การเข้าถือหุ้น 49% ของสตาร์ตอัปอย่าง Scale มูลค่า 14,300 ล้านดอลลาร์ พร้อมคว้าตัว อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ผู้ก่อตั้งบริษัทมาเป็นหัวหน้าทีมวิจัย Llama โมเดลโอเพนซอร์สที่เมตาผลักดันอย่างหนัก
ในช่วงไตรมาสล่าสุด เมตาทำผลประกอบการเกินคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายลงทุน (Capex) กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสสอง และคาดการณ์ค่าใช้จ่ายลงทุนรวมทั้งปี 2025 สูงถึง 72,000 ล้านดอลลาร์
จังหวะพักหายใจท่ามกลางกระแสฟองสบู่เอไอ
การชะลอการจ้างงานรอบนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่ตลาดเทคโนโลยีสหรัฐเผชิญแรงขายหุ้น และมีเสียงเตือนว่าการลงทุนด้านเอไออาจร้อนแรงเกินไป
แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ประธานกรมมการบริหารบริษัท OpenAI ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวในช่วงเดียวกันว่า สถานการณ์เอไอกำลังอยู่ใน “ภาวะฟองสบู่” แต่ก็มีนักวิเคราะห์จำนวนมากที่ไม่เห็นด้วย หลายฝ่ายเชื่อว่าเอไอยังมีพื้นที่เติบโตอีกมาก
ขณะเดียวกัน แดน อีฟส์ (Dan Ives) นักวิเคราะห์จาก Wedbush มองว่า “นี่คือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หุ้นเทคโนโลยียังถูกประเมินค่าต่ำไปด้วยซ้ำ” พร้อมชี้ว่า เมตาแค่เข้าสู่ช่วงย่อยอาหาร หลังทุ่มซื้อคนลงทุนก้อนใหญ่ และเชื่อว่าวงจรหุ้นเทคโนโลยีจะยังดำเนินต่ออย่างน้อย 2-3 ปี
แดเนียล นิวแมน (Daniel Newman) ประธานบริหารของ Futurum Group ก็ให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน โดยมองว่าการหยุดครั้งนี้เป็นจังหวะให้เมตาได้จัดวางกำลังพลที่เพิ่งได้มาว่าสามารถสร้างการก้าวกระโดดด้านเอไอได้จริงหรือไม่ ก่อนจะเดินหน้าทุ่มลงทุนรอบใหม่
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแรงกดดัน ตลาดยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตเอไอ หุ้นเมตายังปรับตัวขึ้นราว 28% ตั้งแต่ต้นปี
โครงสร้างใหม่ Meta Superintelligence Labs
ตามรายงานของวอลล์สตรีทเจอร์นัล เมตาได้ปรับโครงสร้างการทำงานด้านเอไอออกเป็น 4 ทีมหลัก ได้แก่
- ทีมวิจัย TBD lab (To Be Determined) เน้นพัฒนาเอไอระดับซูเปอร์อินเทลลิเจนซ์
- ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์เอไอสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์
- ทีมด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)
- ทีมวิจัยระยะยาวและงานทดลอง
ทั้ง 4 ทีมถูกจัดให้อยู่ภายใต้ชื่อ “Meta Superintelligence Labs” ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้งเมตา ที่ต้องการสร้างเอไอที่สามารถทำงานเชิงความคิดได้ดีกว่ามนุษย์ที่ฉลาดที่สุด
การแข่งขันในสนามเอไอ
ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์เทคโนโลยีรายใหญ่อื่นๆ อย่าง Google และ Microsoft ยังคงเดินหน้าลงทุนด้านเอไออย่างเต็มที่ Google ใช้งานโมเดล Gemini เป็นหัวหอกเชิงพาณิชย์
ส่วน Microsoft อาศัยพันธมิตรกับ OpenAI เพื่อนำ ChatGPT และ Copilot มาต่อยอดในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ทั้งสองรายยังคงทุ่มเงินมหาศาลไปกับโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และศูนย์ข้อมูล เพื่อรองรับการเติบโตของบริการเอไอในระยะยาว