ด่วน ฝ่ายความมั่นคงไทย รวบผู้ต้องสงสัย 'สายลับกัมพูชา' ในพื้นที่สุรินทร์
วันนี้ (27 ก.ค. 68) เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้เข้าควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยที่คาดว่าจะเป็นสายลับจากกัมพูชา ได้ที่บ้านตาเมียง ม.1 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์
โดยบุคคลดังกล่าว เป็นผู้ชาย รูปร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด ทั้งกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ต ใช้ยานพาหนะรถเก๋งโตโยต้าวีออส สีบรอนด์เงิน หมายเลขทะเบียน กจ 7040 สระแก้ว
ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบต่อไปตามขั้นตอน
โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย ทำการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่อาจจะเป็นสายลับมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 พ.ต.อ.มนัสวุฒิ บรรยงค์ ผกก.สภ.ละหานทราย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้รับแจ้งจากผู้จัดการสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่งใน อ.ละหานทราย ว่ามีวัยรุ่นชาวกัมพูชา 2 คน ท่าทางมีพิรุธอยากให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ
จากนั้นได้มีการรายงานไปยัง พล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ โดยต่อมา พ.ต.อ.ชูสิทธิ์ หล่อแสง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้สั่งการให้ติดตามบุคคลต้องสงสัยมาให้ได้ จนกระทั่งมีการจับกุม ชายต้องสงสัยทราบชื่อต่อมา คือ นายเปา อายุ 23 ปี ชาวจังหวัดตาแก้ว และนายวุฒิ อายุ 24 ปี ชาวจังหวัดไพรแวง หรือ เปร็ยแวง
ต่อมา พ.ต.อ.ชูสิทธิ์ หล่อแสง รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้เดินทางมาสอบปากคำ ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง กองทัพภาคที่ 2 (ทหาร กอ.รมน. และ ตชด.215) โดยจากการตรวจสอบการสนทนาและคลิปเสียงที่พูดคุยกับปลายสาย ซึ่งมีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน รุ่น 11 ios ตรวจสอบในโทรศัพท์มีการสนทนามีการแคปหน้าจอตำแหน่งที่อยู่ของตนเองในบริเวณ ต.ตาจง อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ แต่ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่แน่นอน
มีการสนทนากับผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ More No ชื่อนายมอโน จำนามสกุลไม่ได้ อายุ 22 ปี เป็นวัยรุ่นชาวเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ประกอบอาชีพช่างตัดผม และเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก รู้จักกันมานานแล้ว ก่อนและหลังส่งตำแหน่งของตนเองให้กับเพื่อนได้มีการสนทนาด้วยคลิปเสียง
ซึ่งได้ให้ล่ามแปลแล้ว สรุปใจความว่า ทักถามกันว่าอยู่ที่ไหน และพูดคุยกันเรื่องเล่นเกมออนไลน์ และไม่มีการพูดคุยเรื่องพิกัดที่เสี่ยงต่อภัยความมั่นคง
จากการสอบถามทั้ง 2 คน ลักลอบเข้ามาในประเทศไทยมาประมาณ 5 ปี ลักลอบทำงานในพื้นที่จังหวัดระยองมาโดยตลอด และเมื่อประมาณวันที่ 20 ก.ค.68 ได้พยายามข้ามแดนกลับไปยังประเทศกัมพูชา แต่ไม่สามารถข้ามไปได้ จึงชวนกันมาหางานทำรับจ้างกรีดยางในพื้นที่ อ.ละหานทราย โดยเดินทางมาถึงอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะถูกจับกุม ได้เข้ามาในร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ได้มีการพูดคุยกับเพื่อนทางแชต และส่งพิกัดผ่านโทรศัพท์มือถือ จนพนักงานร้านสะดวกซื้อสงสัย จึงแจ้งผู้จัดการปั๊มน้ำมัน
ทั้ง 2 คนรับว่าก่อนหน้านี้ได้เข้ามาเปลี่ยนที่ชาร์จโทรศัพท์ บริเวณสี่แยกสมาร์ทโฟน ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ และได้พักอาศัยที่บริเวณสวนยางห่างจากจุดที่ตรวจพบประมาณ 1 กม. กับนายจ้างคนไทย
เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาชาวกัมพูชาทั้ง 2 คน ในความผิดฐาน "เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย" ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป.
และก่อนหน้านั้นเมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันที่ 25 ก.ค.2568 พ.ต.อ.คำพล โนนุช ผกก.สภ.กาบเชิง รับรายงานผลการควบคุมตัว MR.VIRAK THEP (นายวีระ เทพ) อายุ 52 ปี ชาวกัมพูชา พร้อมรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ สีขาวชมพู ทะเบียนสุรินทร์ และโทรศัพท์มือถือ
หลังเจ้าหน้าที่ชุด ชรบ.ประจำหมู่บ้านด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ได้พบตัวนายวีระ เทพ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชา ตระเวนขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพ บริเวณพื้นที่หลบภัย บ้านด่านฯ ซึ่งชาวกัมพูชาคนดังกล่าว สามารถพูดและเข้าใจภาษาไทยได้อย่างชัดเจน
จากการตรวจสอบเอกสาร พบพาสปอร์ต NO2914908 การเข้าเมืองของบุคคลต่างด้าว เข้าเมื่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 สิ้นสุดวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ซึ่งเข้าเมืองมาโดยถูกกฎหมาย จึงเชิญตัวชายดังกล่าว มาที่ สภ.กาบเชิง และได้สอบถามนายวีระ เทพ แจ้งว่าถ่ายภาพพื้นที่อพยพส่งให้กับญาติที่ประเทศกัมพูชาดู อ้างว่าไม่มีเจตนาส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
สตช.แนะ 5 จุด วิธีสังเกตสายลับ
ด้าน พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยวันนี้ (27 กรกฎาคม 2568) ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งขณะนี้อาจมีกลุ่มบุคคลไม่หวังดีลักลอบส่งข้อมูลด้านความมั่นคงและการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ไทยให้แก่ฝ่ายกัมพูชา อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ประชาชน และความมั่นคงของชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ให้สังเกตลักษณะการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นการสายลับ ดังนี้
1. การเก็บข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ – ลอบถ่ายภาพหรือวิดีโอที่ตั้งหน่วยทหาร จุดยุทธศาสตร์ เส้นทางลำเลียงเสบียงหรืออาวุธ
2. การติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ – สอดส่องการเคลื่อนย้ายกำลังพล หรือการจัดวางยุทโธปกรณ์ของหน่วยงานความมั่นคง
3. การกระทำที่ผิดปกติ – เช่น ถ่ายภาพในพื้นที่บ่อยครั้ง เข้าใกล้พื้นที่ปฏิบัติการโดยไม่มีเหตุผล หรือเดินสำรวจพื้นที่โดยไม่มีจุดหมาย
4. การเข้าออกพื้นที่หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต – ปรากฏตัวในพื้นที่ที่มีคำสั่งอพยพ หรือในเวลาที่ผิดปกติ เช่น เวลากลางคืน
5. การครอบครองอุปกรณ์ต้องสงสัย – เช่น กล้องส่องทางไกล แผนที่ยุทธศาสตร์ แผนผังพื้นที่ หรืออุปกรณ์ระบุตำแหน่ง GPS
โดยการกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 “ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร” ซึ่งอาจต้องระวางโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นพฤติการณ์ต้องสงสัย หรือบุคคลที่มีลักษณะเป็นสายลับ ลักลอบส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ หรือข้อมูลสำคัญของประเทศไปยังฝ่ายกัมพูชา ขอให้แจ้งเบาะแสดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ หรือที่สายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง