ศบ.ทก. ลั่น “กัมพูชา”ต้องจริงใจ-หยุดยิงเป็นที่ประจักษ์
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 27 กรกฎาคม 2568 เวลา 23.23 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมท27 ก.ค. – ศบ.ทก. ยันไทยจะหยุดยิงต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจและหยุดยิงเป็นที่ประจักษ์ ชี้เลี่ยงเจรจาหลายครั้ง และยังเสริมกำลังและอาวุธหนักต่อเนื่อง ซัดใช้กระแสรักชาติปลุกระดม ขณะ กต.ไทยย้ำจุดยืนในวง UNSC กัมพูชา ใช้ประชาชนเป็นโล่กำบัง โจมตีพลเรือนต่อเนื่องไร้มนุษยธรรม จ่อยื่น ICRC หลังยิงอาวุธหนัก เข้า รพ. และ รพ.สต.-บ้านเรือนประชาชน จ.สุรินทร์
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงข่าวประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แถลงว่าจากประเด็นที่ปรากฏเป็นข่าวในเรื่องของการเรียกร้องของบางประเทศให้ไทยและกัมพูชาหยุดยิง ฝ่ายไทยขอชี้แจงว่าด้วยในหลักการดังกล่าว แต่จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจและเข้าร่วมหารือในขั้นตอนในรายละเอียดต่างๆ ด้วย รวมทั้งหยุดยิงเป็นที่ประจักษ์
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่ผ่านมาก็เห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชาก็ยังคงมีการส่งกำลังทหารเข้าปะทะบริเวณใกล้เคียงพื้นที่เขาพระวิหารในเวลา 02.10 น. ประกอบด้วยการยิงจรวดบีเอ็มสองหนึ่ง เข้ามายังฝ่ายไทยและตกบริเวณบ้านตาโส หมู่10 ตำบลบ้านพลวง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลา 06.10 น. ซึ่งเป็นเป้าหมายของพลเรือน ทำให้บ้านของพลเรือนเสียหายและนอกจากนี้ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ในเวลา 15.30 น. กระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาก็พุ่งเป้าใส่โรงพยาบาลในพื้นที่ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลศรีสะเกษ และโรงพยาบาลบ้านกรวดจังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งมีการใช้ประชาชนเป็นโล่ห์กำบังในการตั้งอาวุธยิง ซึ่งถือเป็นการใช้ประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไร้หลักมนุษยธรรม
ในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน นอกจากนั้นเราขอประนามไปในความไม่จริงใจในเรื่องการพิสูจน์ของฝ่ายกัมพูชา โดยที่ผ่านมากัมพูชาได้ปฏิเสธและเลื่อนการหารือในเวทีทวิภาคีหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น เจบีซี จีบีซี หรืออาร์บีซี เพราะฝ่ายไทยมองว่าการประชุมต่างๆ เหล่านี้สามารถนำประเด็นต่าง ๆ ที่มีข้อขัดแย้งระหว่างสามารถนำมาพูดคุยหารือในเวทีต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาสังเกตได้ว่าฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังทางทหาร มีการเตรียมที่มั่นดัดแปลงบริเวณชายแดนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาออตตาวา นอกจากนี้ยังมีการแสดงท่าทียั่วยุ ส่งเสริมการปลุกระดมมวลชนชาวกัมพูชาทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าสู่พื้นที่ความตึงเครียดบริเวณแนวชายแดน โดยใช้กระแสชาตินิยมปลุกปั่นยกระดับให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนการแสดงออกถึงท่าทีของความพร้อมในการใช้กำลังทหารผ่านการโพสต์ผ่านทางช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงและกล่าวหาประเทศไทยอย่างไร้หลักฐานที่เป็นส่วนหนึ่งของความไม่พอใจและนำไปสู่ความไม่รุนแรงต่อกันในเวลาต่อมา
ส่วนสถานการณ์ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชายังคงดำเนินการใช้อาวุธหนักทั้งปืนใหญ่ปืนใหญ่วิถีโค้ง จรวดหลายลำกล้อง รวมทั้งปรากฏข่าวสารความเคลื่อนไหวว่าอาจจะมีการใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพ เช่น PHL-03 RM-70 70 และบีเอ็ม 21 แบบติดลำกล้องเพิ่มเติมด้วย สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในวันนี้นับตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นมา เสียชีวิต ที่เป็นพลเรือน 13 ราย บาดเจ็บสาหัสเพิ่มอีก 1 ราย เป็นจำนวน 11 ราย บาดเจ็บปานกลาง 12 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย3 ราย รวมยอดทั้งหมด 49 ราย แม้ตัวเลขนี้ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่คงต้องชื่นชมในเรื่องของหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งกระทรวงมหาดไทยและสาธารณสุขในการอพยพประชาชน ออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน
ขอเน้นย้ำปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเกิดจากนโยบายของรัฐบาลกัมพูชาล้วนๆ ไม่ได้เกิดจากพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้ง 2 ประเทศ จึงขอวิงวอนให้พี่น้องชาวไทย หลีกเลี่ยงการแสดงความรุนแรง ด้วยการใช้ถ้อยคำการใช้คำดูถูกเหยียดหยามชาวกัมพูชาที่เข้ามาพำนักหรือทำงานในไทยอย่างสุจริต เช่น ผู้ใช้แรงงานก็ดี นักเรียนนักศึกษาชาวกัมพูชาก็ดี แม้กระทั่งผู้ประกอบการในทุกสาขา วิชาชีพต่าง ๆ และแม้กรณีที่ทางกัมพูชาก้าวร้าวก็ขอให้ใช้สติและเหตุผลในการตอบโต้และขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการได้กฎหมายต่อไป
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( United Nations Security Council: UNSC) แบบปิดเมื่อวันศุกร์ ที่ผ่านมาตามเวลานิวยอร์ก ได้มีการหารือโดยมี 15 รัฐสมาชิก ซึ่งมีไทยและกัมพูชาคู่กรณีเข้าร่วมซึ่งโอกาสนี้ฝ่ายไทยได้มีการย้ำจุดยืนต่อชาวโลกด้วยหลักฐานที่หนักแน่นและข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มและเปิดฉากยิงรวมถึงมีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทยโดยมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากรวมถึงต้องอพยพหลักแสนคนซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง
สำหรับการหารือ ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) มีการกล่าวถึงหลักการกว้างๆ ในทิศทางเดียวกันคือเรียกร้องให้ทั้งฝ่ายลดความตึงเครียด โดยการยุติการยิงและใช้หลักการทางการฑูต รวมถึงสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการแก้ไขความขัดแย้งตามหลักการกฎบัตรอาเซียน
และยังมีการ ย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยในการหารือครั้งนี้ UNSC ไม่ได้มีมติหรือการออกเอกสารผลลัพธ์ใดๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะแสดงว่ารัฐสมาชิกต่างๆ ก็มีความเข้าใจและจุดยืนของฝ่ายไทย
ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์นำการกระทำอันร้ายแรงของกัมพูชาที่ละเมิดอนุสัญญาเจนีวาที่เกี่ยวกับการคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานพยาบาลและข้อ 18 อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 เกี่ยวกับภารกิจเรื่องการคุ้มครองโรงพยาบาลฝ่ายพลเรือน
โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือถึงคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อแสดงถึงการละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศ (ICRC) อย่างร้ายแรง รวมถึงจะมีการพบสำนักงาน ICRC ที่ประจำประเทศไทยในวันอังคารที่จะถึงนี้เพื่อหาชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นนี้
อย่างไรก็ตามย้ำว่าประเทศไทยต้องการสื่อสารไปยังประชาคมพบว่าการกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา เป็นสิ่งที่ต่างประเทศต้องร่วมกันประณาม เพราะยังคงมีการโจมตีสถานที่ต่างๆ ของไทยอยู่ ดังนั้นฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงถึงความจริงใจถึงการหยุดยิงก่อน โดยเฉพาะการที่ไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็ยังต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อสื่อต่างประเทศกรณีกัมพูชาใช้อาวุธร้ายแรงโจมตีบ้านเรือนประชาชนที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อเช้านี้ และตอบโต้กรณีที่ไทยกล่าวอ้างว่าไทยเป็นผู้เริ่มก่อน.-312-สำนักข่าวไทย