Fantastic 4 ภาคไหน โดนเด่นเรื่องอะไร มัดรวมไว้ให้แล้ว!
The Fantastic Four: First Steps การเริ่มต้นครั้งใหม่ของแฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่ระดับตำนาน กับกลับมาของเหล่าครอบครัวแฟนแทสติก 4 พร้อมบทบาทสำคัญในจักรวาลมาร์เวลที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คราวนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับวายร้ายธรรมดา แต่เป็นการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ท้าทายระดับจักรวาล ถือเป็นอีกหนึ่งซูเปอร์ฮีโร่ที่แฟนหนังตั้งตารอมากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้
หากแต่นึกย้อนดู ครอบครัวแฟนแทสติก 4 ก็ได้มีเป็นหนังมาแล้วกว่า 4 เวอร์ชั่น นับตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกอย่าง The Fantastic Four (1994) ซึ่งนับเป็นปฐมบทการออกจากคอมมิคมาสู่โลกภาพยนตร์ครั้งแรกของครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่นี้ แม้ตัวภาพยนตร์จะทำเสร็จเรียบร้อย ทว่าด้วยเหตุผลด้านลิขสิทธิ์ จึงทำให้ตัวหนังไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์นั่นเอง
อย่างไรก็ดี อีก 3 เวอร์ชั่นที่ได้ไปต่อบนโลกภาพยนตร์ ก็ล้วนมีความพิเศษและจุดเด่นเฉพาะตัวที่สะท้อนภาพของครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่แห่งจักรวาลมาเวลแตกต่างกันออกไป จนทำให้ทั้ง 3 เวอร์ชั่น ต่างก็สามารถสร้างภาพจำของแฟนแทสติก 4 ในแต่ละยุคสมัยให้แก่แฟนๆ ได้จนถึงทุกวันนี้
แล้วเวอร์ชั่นไหนโดดเด่นเรื่องอะไร แต่ละยุคสมัยแตกต่างกันอย่างไร The MATTER จึงขอพาทุกคนย้อนกลับไปดูเรื่องราวเบื้องหลังของเหล่าครอบครัวแฟนแทสติก 4 จากหนังแต่ละภาคกัน
Fantastic Four (2005)
โทนเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง เน้นการสร้างความสัมพันธ์ในทีม
แฟนแทสติก 4 ซึ่งถือเป็นซูเปอร์ฮีโร่รูปแบบครอบครัวเรื่องแรกของมาร์เวล (Marvel) เมื่อมาปรากฏในรูปแบบหนัง แถมยังถือเป็นปฐมบทของซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้บนจอเงิน โทนหนังจึงเน้นไปที่ความสนุกสนาน เบาสมอง มีฉากแอ็กชั่นตามสไตล์หนังฮีโร่ แต่ก็แฝงไปด้วยมุกตลก และตอกย้ำความเป็นครอบครัวของแฟนแทสติก 4 ด้วยการให้ความสำคัญไปที่การสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีระหว่างคนในทีมด้วยกันเอง
เสริมความเป็นโรแมนติกเข้าไปในหนัง
ในช่วงยุคต้นทศวรรษ 2000s อันถือเป็นยุคทองของหนังโรแมนติกคอมเมดี้ มีหรือที่หนังซูเปอร์ฮีโร่อย่าง แฟนแทสติก 4 จะไม่หยิบองค์ประกอบความเป็นโรแมนติกมาใส่เสริมเข้าไป เพื่อหวังให้ตัวหนังมีความกลมกล่อมมากขึ้น โดยเน้นไปที่การเย้าหยอกกันระหว่าง รีดส์ ริชาร์ด (รับบทโดย โยอัน กริฟฟิดด์) และ ซู สตอร์ม (รับบทโดย เจสสิก้า อัลบา)
อย่างไรก็ตาม การใส่องค์ประกอบความเป็นโรแมนติกลงไปในหนังก็ได้ทำให้เสียงผู้ชมแตกแยกออกเป็น 2 ฝั่งชัดเจน ฝั่งหนึ่งรู้สึกว่าฉากเลิฟซีนต่างๆ ช่วยเพิ่มมิติให้กับตัวหนังและตัวละคร แต่อีกฝั่งกลับมองว่ามันดูไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในหนังเรื่องนี้
ปัจจุบันเป็นแฟรนไชส์เดียวที่มีภาคต่อในปี 2007 ชื่อ Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer
แม้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าในแง่หนึ่ง หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องนี้ก็สามารถครองใจแฟนฮีโร่ส่วนหนึ่งได้สำเร็จ กระทั่งได้มีภาคต่อออกมาในปี 2007 ในชื่อ Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer ซึ่งเป็นการสานต่อเรื่องราวการต่อสู้กับวายร้ายหน้าเก่าจากภาคแรก พร้อมเสริมทัพความท้าทายของบทบาทซูเปอร์ฮีโร่ด้วยการมาของวายร้ายระดับจักรวาลตัวใหม่
จากช่วงทศวรรษ 2000s จนถึงปัจจุบัน ภาพยนตร์แฟนแทสติก 4 ในเวอร์ชั่นนี้ จึงเป็นเพียงเวอร์ชั่นเดียวที่มีภาคต่อของตนเอง
ภาพรวมของหนังอ้างอิงจากคอมมิคชัดเจน
ด้วยความที่แฟนแทสติก 4ในยุคนี้ ถือเป็นเป็นการออกมาสู่โลกภาพยนตร์ครั้งแรกของแฟนแทสติก 4 ภาพรวมของหนังจึงมีการอ้างอิงจากในคอมมิคค่อนข้างชัดเจน อย่างในแง่ของตัวละคร ก็ได้มีการใส่ความไม่ค่อยลงรอยกันเล็กๆ ระหว่าง ฮิวแมนทอช (รับบทโดย คริส อีแวน) กับ เดอะ ธิง (รับบทโดยไมเคิล ชิกลิส) ซึ่งเหมือนกับในเวอร์ชั่นคอมมิค จนมันกลายมาเป็นสีสันให้กับตัวหนังในยุคนี้นั่นเอง
Fantastic Four (2015)
โทนเรื่องมีความดาร์กกว่าทั้ง 2 เวอร์ชั่น
Fantastic Four (2015) ถือเป็นเวอร์ชั่นที่มีความแตกต่างจากอีก 2 ภาคอย่างชัดเจน โทนหนังมีความดาร์กและจริงจังกว่า ทั้งโทนสี ฟิลเตอร์ ฉาก กระทั่งบรรยากาศภายในหนัง ทั้งหมดนี้ก็เป็นความตั้งใจของ จอช แทรงค์ (Josh Trank) ผู้กำกับหน้าใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเขาเพิ่งกำกับภาพยนตร์แนวดาร์กไซไฟ อย่าง Chronicle (2012) ไป ทำให้เขานำความดาร์กอันเป็นลายเส้นของตัวเองมาใส่กับหนังซูเปอร์ฮีโร่ในครั้งนี้ด้วย
ตีความเนื้อเรื่องใหม่
นอกจากโทนของหนังที่เปลี่ยนไปแล้ว เนื้อเรื่องของหนังก็ได้ถูกตีความใหม่ด้วยเช่นกัน จากเดิมที่เรามักคุ้นชินกับแฟนแทสติก 4 ด้วยภาพลักษณ์ของความเป็นครอบครัว หรือแม้แต่การที่เหล่าตัวละครจะคอยประคับประคองความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้างและหน้าที่ฮีโร่ ภาพเหล่านี้แทบไม่มีปรากฏอยู่เลยในแฟนแทสติก 4 เวอร์ชั่นนี้ โดยหลังจากได้รับพลังจากรังสีคอสมิค พวกเขาทั้ง 4 ก็ต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ เพื่อทำภารกิจให้แก่ทางการรัฐบาล ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ค่อยเห็นมุมของการพัฒนาความสัมพันธ์ภายในกลุ่มได้ชัดเจนมากเท่าอีก 2 เวอร์ชั่น
การออกแบบตัวละครแตกต่างจากเวอร์ชั่นอื่น
โทนเรื่องก็เปลี่ยน เนื้อเรื่องก็เปลี่ยน แน่นอนว่าตัวละครก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ในเวอร์ชั่นนี้ นอกจากความเปลี่ยนแปลงของลักษณะภายนอกของตัวละครที่เห็นกันได้ชัดแล้ว ยังมีการเปลี่ยนภาพรวมของตัวละครทั้งหมดด้วย อย่าง ตัวละครหลักมีความเป็นวัยรุ่นมากขึ้น จนทำให้ภาพลักษณ์ของบางตัวละครเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เช่น รีด ริชาร์ด (รับบทโดย ไมล์ส เทลเลอร์) ก็ไม่ได้แสดงถึงความเป็นเสาหลักของกลุ่มเท่ากับเวอร์ชั่นอื่นๆ อีกทั้ง ตัวของ ซู สตอร์ม (รับบทโดยเคท มาร่า) และ จอห์นนี สตอร์ม (รับบทโดย ไมเคิล บี. จอร์แดน) ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ จึงไปส่งผลต่อความเข้มข้นของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ภายในเรื่องด้วย
The Fantastic Four: First Steps (2025)
ความพยายามครั้งล่าสุดกับการสร้างเหล่าครอบครัวแฟนแทสติก 4ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
The Fantastic Four: First Steps (2025) ถือเป็นความพยายามครั้งล่าสุดในการสร้างเหล่าครอบครับแฟนแทสติก 4 ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ เนื่องจากลิขสิทธิ์ของครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่นี้ก็ได้กลับมาอยู่ภายใต้ Marvel Cinematic Universe หรือ MCU อย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้โทนของหนังจะมีความคล้อยตามไปกับคอมมิคอย่างชัดเจน ซึ่งเต็มไปด้วยสีสันความสนุกและมุกตลกตลอดทั้งเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่นแบบถึงเครื่องตามสไตล์มาร์เวล
เล่นกับประเด็นความสมดุลระหว่างครอบครัวและหน้าที่ของซูเปอร์ฮีโร่
การกลับมาสู่จอเงินครั้งนี้ของเหล่าครอบครัวแฟนแทสติก 4 ไม่ใช่เพียงการกลับมาสู่เรื่องราวการต่อสู้กับวายร้ายเฉกเช่นเดิม แต่คราวนี้พวกเขาจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างความเป็นครอบครัวให้ไปต่อได้พร้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ซูเปอร์ฮีโร่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวของ รีดส์ ริชาร์ด (รับบทโดย เปโดร ปาสคาล) และ ซู สตอร์ม (รับบทโดย วาเนสซา เคอร์บี้) ที่เพิ่งจะมีลูกตัวน้อย พวกเขาต้องทำหน้าที่ซูเปอร์ฮีโร่ ปกป้องภัยร้ายระดับจักรวาล ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่พ่อและแม่ของเด็ก กลายเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ซึ่งทำให้หนังภาคนี้น่าติดตามต่อไปว่า พวกเขาจะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ได้อย่างไร
ฉากหลังเป็นยุค 1960s ภายใต้แนวคิด Retro Futurism
ในครั้งนี้ MCU ได้วางให้ เรื่องราวของเหล่าแฟนแทสติก 4 เกิดขึ้นในช่วงยุค 1960s ภายในโลกคู่ขนาน Earth-828 ซึ่งหากทุกคนสังเกตจากตัวอย่างหนัง ก็คงเห็นกันแต่แรกแล้วว่าโลกนี้มีความแตกต่างจากโลกของหนังเรื่องอื่นๆ ในจักรวาล MCU พอสมควร ซึ่งทีมงานได้ออกแบบโลกใบนี้ให้มีความแปลกตาไปจากโลกแบบเดิม เพื่อสร้างภาพความแตกต่างของโลกคู่ขนานให้ชัดเจน
ฉากหลังของเมืองและองค์ประกอบภายในภาพยนตร์ครั้งนี้ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ‘Retro Futurism’ เป็นแนวคิดทางศิลปะในช่วงยุค 1960s ผู้คนในช่วงเวลาดังกล่าว มักจินตนาการถึงโลกอนาคตอันแสนล้ำหน้า ส่งผลให้งานศิลปะที่สะท้อนแนวคิดเหล่านี้จึงมีภาพของตึกรูปทรงประหลาด หรือยานพาหนะที่ไม่ควรจะมีอยู่ในยุคนั้น อย่าง รถบินได้ หรือ ยานอวกาศ ปะปนกลมกลืนไปกับเมืองเก่า ราวกับเป็นการผสมผสานกันระหว่างอดีตและอนาคต ซึ่งแนวคิดทางศิลปะนี้ก็ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจหลักในการออกแบบเมืองของเหล่าแฟนแทสติก 4 นั่นเอง
เนื้อเรื่องเชื่อมโยงกับ MCU
เมื่อทางมาร์เวลเป็นคนลงมือสร้างแฟนแทสติก 4 ขึ้นมาเอง พวกเขาก็จะต้องได้ไปต่อในจักรวาล MCU อย่างแน่นอน โดยเนื้อเรื่องภายในหนังจะถือเป็นประตูบานสำคัญ ซึ่งจะเปิดไปสู่ Avengers: Doomsday ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ของจักรวาลเรื่องถัดไป และเป็นอีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญของมาร์เวล ที่จะลงจอให้แฟนๆ ได้รับชมกันในปีหน้า หากอ้างอิงตามคอมมิค เหล่าครอบครัวแฟนแทนสติก 4 ก็ถือเป็นกุญแจดอกสำคัญของอีเวนต์นี้เลยก็ว่าได้
จะเห็นได้ว่า แฟนแทสติก 4ในแต่ละเวอร์ชั่น ต่างก็สะท้อนยุคสมัยที่ตัวหนังถือกำเนิดขึ้นมาอย่างชัดเจน และแม้จะมีความแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละช่วงเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ การพยายามชุบชีวิตเรื่องราวของครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้ให้กลับมาโลดแล่นอยู่บนจออีกครั้ง ไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนๆ
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editorial Staff: Runchana Siripraphasuk