3 ดาบพิฆาต! พ่อ-ลูก ตระกูลชินวัตร
แม้ ทักษิณ ชินวัตร จะใช้ปัญญาและกลยุทธ์ร้อยแผนเพื่อรอด แสดงความมั่นใจ เปล่งออร่าบารมีเหนืออำนาจ แต่งตั้งตนเป็น “เสมียนประเทศ” รวบรวมทุกปัญหาส่งต่อรัฐบาลแก้ไข
ท้าทายนักร้องปมครอบงำพรรคการเมือง ด้วยการก้าวขึ้นเวทีบรรยายพิเศษ วงดินเนอร์ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล ปลุกปลอบขวัญกระชับอำนาจ สร้างความมั่นใจประคองรัฐนาวาฝ่าวิกฤตได้ ด้วยประสบการณ์คุมเสียง ส.ส. 51 ปี แม้เสียงปริ่มน้ำ ลั่นแค่เกินมา 1 เสียงก็เพียงพอ
พร้อมแสดงความเชื่อมั่นพรรคร่วมรัฐบาลไม่ทิ้งกัน พร้อมประกาศ “ปฏิญญาอีสตินฯ” จับมือกันจัดตั้งรัฐบาลอีกหลังเลือกตั้ง!!
“ทีมนี้แหละที่เมื่อเลือกตั้งแล้วก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อไม่ทิ้งกันขนาดนี้ก็ไม่ทิ้งกันตลอดไปจริงหรือไม่” ทักษิณ ระบุ
ท่ามกลางไฟแห่งความปั่นป่วนทางการเมืองที่ขยายไปทั่วสารทิศ เดือนสิงหาคมที่จะมาถึงนี้ เป็นเดือนที่ถูกจับตามองว่าจะมีการลงดาบ สามคดีใหญ่ พ่อ-ลูกตระกูลชินวัตร
ดาบแรก วันที่ 22 สิงหาคม 2568 ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดีของ “ทักษิณ” ในข้อหาหมิ่นสถาบันตามมาตรา 112 คดีนี้ “ทักษิณ” เลือกใช้พยานเพียง 3 ปาก คือ วิษณุ เครืองาม, ธงทอง จันทรางศุ และตัวของทักษิณเอง จากเดิมที่กำหนดไว้ถึง 14 ปาก
ทำให้เกิดข้อสังเกตว่าเป็นความพยายามรวบรัดตัดตอนเพื่อให้การตัดสินคดีเร็วขึ้นหรือไม่ เพราะมองเห็นว่า เขามีโอกาสรอดหรือผลการตัดสินมีแนวโน้มเป็นบวกสูง
โดยมีการตีความจากบางช่วงบางตอนที่ “ทักษิณ” กล่าวในวงดินเนอร์ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลว่า
“เมื่อผมพ้นบ่วงของผมแล้ว ผมจะแวะไปเยี่ยมท่านทั้งหลาย ไปทุกจังหวัด”
หากศาลพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว อาจคาดหวังได้ว่าศาลจะอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมา คดีมาตรา 112 ทำให้เขาไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้
แต่อีกด้านหนึ่ง มีความพยายามเทียบเคียงกับคดีที่ศาลยกฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดี “บอส อยู่วิทยา” แต่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศแม้จะยกฟ้องแล้ว เพราะยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ฉะนั้น แม้ผลคดีมาตรา 112 ของ “ทักษิณ” ออกมาเป็นบวก แต่ก็ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเขาจะได้ออกนอกประเทศ!!
ดาบที่สอง ที่จะมีผลต่อการบังคับโทษ “ทักษิณ” ไต่สวนไปแล้ว 5 นัด นัดที่ 6 คือวันที่ 25 กรกฎาคม โดยศาลเรียกแพทยสภาและผู้เชี่ยวชาญโรคมาเป็นพยาน ตรวจสอบข้ออ้างว่าป่วยหนักจนไม่สามารถรับโทษได้
และนัดสำคัญคือวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ปรากฏชื่อ “วิษณุ เครืองาม” เปรียบเสมือนขงเบ้ง ผู้พลิกเกมในยามวิกฤต หากคำให้การของเขาโน้มเอียงไปทางใด ผลลัพธ์ของศึกนี้อาจพลิกฟ้าคว่ำดิน
หากศาลเห็นว่าการบังคับโทษ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” เดิมทีเชื่อกันว่าจะเอาผิดได้เพียงข้าราชการ แต่ในมุมมองนักกฎหมายเห็นว่าสามารถเอาผิด “ทักษิณ” ในฐานะ “ตัวการร่วม” จากพยานแวดล้อมต่างๆ จึงต้องติดตามว่า “ทักษิณ” จะพ้นบ่วงไปได้หรือไม่
มาถึง ดาบที่สาม คดีความของ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ขุนศึกหญิงผู้แบกศรัทธาของพรรคเพื่อไทย คดีจริยธรรมร้ายแรงจากคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ถูกตีความว่า “ทำความเสื่อมเสียเกียรติภูมิของชาติ” กระทบต่อความมั่นคง
เส้นตายส่งคำชี้แจงคือ 31 กรกฎาคม ก่อนที่ 38 ส.ว. จะส่งข้อโต้แย้งใน 16 สิงหาคม และคาดศาลนัดวินิจฉัยปลายเดือนสิงหาคม
ยิ่ง ส.ว. เพิ่งโหวตเลือก สราวุธ ทรงศิวิไล อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางราง และอดีตอธิบดีกรมทางหลวง สมัย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เป็น รมว.คมนาคม ซึ่งแน่นอนว่าจะเข้าไปเป็นอีก 1 เสียงในศาลรัฐธรรมนูญ ที่อาจไม่เป็นคุณต่อ “นายกฯอิ๊งค์” ด้วย
โอกาสที่ผลออกมาเป็นลบคือ “พ้นตำแหน่ง” บัลลังก์นายกรัฐมนตรีจะสั่นสะเทือนก็มีสูงมากขึ้น
จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยที่เหลืออยู่ เข้าร่วมวงดินเนอร์ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลด้วย แม้ “นายกฯอิงค์” จะประกาศความมั่นใจว่าจะได้หวนกลับมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง หลังถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม
“ดิฉันยังเชื่อมั่นในเจตนาอันบริสุทธิ์ของพวกเราทุกคน ที่จะรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชนและเจ้าหน้าที่ด้วยหลักสันติวิธี และหวังว่ากระบวนการต่างๆ จะสามารถพิสูจน์แนวทางนี้ได้ ดิฉันยังพร้อมเสมอหากมีโอกาสกลับมาทำหน้าที่เพื่อประชาชนอีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ความเป็นไปได้ แม้พ่อ-ลูกตระกูลชินวัตรจะรอดทั้ง 3 ดาบ ครบ 3 คดี ครม.แพทองธารไปต่อ แต่คาดว่าจะประคองไปได้เพียงสิ้นปี และยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ด้วยยังมีเรื่องร้องเรียนต่อนายกฯอิ๊งค์อีกหลายเรื่องในองค์กรอิสระที่พร้อมฟาดฟันอีกหลายดาบ
แต่หากพ่ายศึกเดือนสิงหาคม ก็อาจถูก “ขุนพลน้ำเงิน” ยึดบัลลังก์