การกลับลำของทรัมป์เกี่ยวกับ Nvidia จุดกระแส “ดีลใหญ่” กับจีน
บลูมเบิร์ก รายงานว่า เพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไบเดนประกาศว่าการควบคุมการส่งออกเป็น "สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ใหม่" ที่จะช่วยให้สหรัฐ รักษา "ความเป็นผู้นำให้มากที่สุด" เหนือจีนในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพลิกกลับแนวทางดังกล่าว
ในสัปดาห์นี้ ทำเนียบขาวได้แจ้งต่อบริษัทผู้ผลิตชิป Nvidia Corp ว่าบริษัทอาจสามารถกลับมาขายชิปปัญญาประดิษฐ์ H20 ให้กับจีนได้ในเร็วๆ นี้ Advanced Micro Devices Inc ได้รับคำรับรองที่คล้ายกันจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ
โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ อธิบายถึงการตัดสินใจนี้ว่า รัฐบาลต้องการให้นักพัฒนาชาวจีน "เสพติด" เทคโนโลยีของอเมริกา ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าสหรัฐ จะไม่ขาย "สิ่งที่ดีที่สุดของเรา" ให้กับจีน เขากล่าวว่า จำเป็นต้องมีนโยบายที่สมดุลมากขึ้น ซึ่งจะทำให้สหรัฐ "ก้าวล้ำหน้ากว่าสิ่งที่พวกเขาสามารถสร้างได้หนึ่งก้าว เพื่อที่พวกเขาจะยังคงซื้อชิปของเราต่อไป"
H20 เป็นชิปที่มีเทคโนโลยีไม่ได้ก้าวหน้ามากนัก
การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มหัวรุนแรงต่อต้านจีนในวอชิงตัน ก่อให้เกิดคำถามสำคัญ ขณะที่ทรัมป์ กำลังปูทางไปสู่การพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในปลายปีนี้ นั่นคือ สหรัฐ จะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใดในการยกเลิกมาตรการจำกัดการค้าระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งบังคับใช้ในนามของความมั่นคงแห่งชาติ
สัญญาณความสัมพันธ์จีน-สหรัฐดีขึ้น
“การผ่อนปรนการควบคุมการส่งออกชิป H20 ที่เห็นได้ชัดอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” เควิน ซู นักลงทุนด้านเทคโนโลยีและผู้ก่อตั้ง Interconnected Capital ซึ่งเคยทำงานในรัฐบาลโอบามา กล่าว “ขณะนี้มีไพ่ต่อรองมากมายบนโต๊ะสำหรับข้อตกลงครั้งสำคัญด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐ และจีน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แร่หายาก เทคโนโลยีแบตเตอรี่ ชิปเอไอ หรือแม้แต่การเข้าถึงตลาดร่วมกัน”
แม้ว่าสหรัฐ จะยังห่างไกลจากการยกเลิกข้อจำกัดส่วนใหญ่ที่มีต่อจีน ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่การควบคุมการส่งออก การควบคุมการลงทุน ไปจนถึงการคว่ำบาตร แต่การกระทำล่าสุดของทรัมป์ได้เปิดประตูสู่การกำหนดนิยามความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศใหม่ เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาประกาศใช้ภาษีนำเข้า 145% ซึ่งนำพาความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศไปสู่จุดเกือบแตกหัก
การเจรจาที่เจนีวา และลอนดอนนำไปสู่การสงบศึก โดยสหรัฐตกลงที่จะลดภาษีนำเข้า และผ่อนคลายการควบคุมการส่งออก เพื่อแลกกับแร่แม่เหล็กหายากที่ใช้ผลิตสินค้า เช่น สมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอาวุธไฮเทค
ทรัมป์เน้นการต่อรองทางการค้ากับจีน
แม้ว่าการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์จะเปลี่ยนประเด็นที่วอชิงตันหันมาเน้นย้ำถึงภัยคุกคามจากจีน แต่ประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกรรม และเข้มงวดกับประเด็นความมั่นคงแห่งชาติแบบดั้งเดิมน้อยลงมาโดยตลอด ทรัมป์ได้ลดความสำคัญของปัญหาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับ TikTok และในช่วงหาเสียง เขาได้แสดงความคิดเห็นต้อนรับผู้ผลิตรถยนต์จีนให้มาตั้งโรงงานในสหรัฐ
“เขาไม่ได้ยึดติดกับอุดมการณ์ในการควบคุมทุกหนทุกแห่ง” โดมินิก ชิว นักวิเคราะห์อาวุโสของยูเรเซีย กรุ๊ป กล่าว “ดังนั้น หากเขามองว่านั่นเป็นเครื่องต่อรองที่เขาสามารถใช้เพื่อให้จีนยินยอมเกี่ยวกับแร่หายาก และสิ่งอื่นๆ เขาก็จะทำ”
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำความสัมพันธ์อันดีที่สั่งสมมาจากการเจรจาทางการทูตที่คึกคักเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงการพบปะกันอย่างอบอุ่นระหว่างมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนในมาเลเซีย
ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยเป็นผู้นำการเจรจาการค้าครั้งก่อน คาดว่าจะได้พบกับเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรี ภายใน “อีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า” และได้ส่งสัญญาณว่าสหรัฐ น่าจะขยายเส้นตายวันที่ 12 สิงหาคม 2568 สำหรับการกลับมาใช้มาตรการภาษีศุลกากรที่พุ่งสูงอีกครั้ง
ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังคืบหน้าไปสู่ข้อตกลงหลายฉบับ ถ้าไม่ใช่ข้อตกลงใหญ่เพียงฉบับเดียว ก่อนการพบกันระหว่างผู้นำที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ที่จะเปิดฉากขึ้นในปลายเดือนตุลาคม ที่เกาหลีใต้
หลังจากพบปะกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รูบิโอ กล่าวว่า การหารือกันของผู้นำประเทศจะเกิดขึ้น แม้จะไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน โดยกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายจะต้อง “สร้างบรรยากาศและผลลัพธ์ที่เหมาะสม” เขากล่าวเสริมว่า “ทั้งสองฝ่ายมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำเช่นนั้น”
ทรัมป์ชมจีนคืบหน้าแก้ปัญหาสารเสพติด
สำหรับรัฐบาลทรัมป์ เป้าหมายอาจดูคล้ายกับแผนการในช่วงการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งก็คือ การบีบให้จีนซื้อสินค้าอเมริกันจำนวนมาก เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าที่ยืดเยื้อ ทรัมป์ยังอาจเรียกร้องให้จีนดำเนินการมากขึ้นเพื่อควบคุมการส่งออกของสารตั้งต้นยาเสพติดเฟนทานิล ซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์ได้กล่าวชื่นชมความพยายามของปักกิ่งเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่าได้ “ก้าวกระโดดครั้งใหญ่” ไปแล้ว
นอกจากนี้ วอชิงตันยังกำลังหาทางแก้ไขอนาคตของการดำเนินธุรกิจของ TikTok แอปวิดีโอในสหรัฐ และเพื่อแน่ใจว่าปักกิ่งจะไม่ใช้การควบคุมแร่ธาตุหายาก และแร่ธาตุสำคัญอื่นๆ เป็นเครื่องมือในการทำสงครามการค้า
จีนต้องการให้สหรัฐยกเลิกภาษีทั้งหมด
ในส่วนของจีนเองก็มีความปรารถนาอันแรงกล้าในหลายเรื่องเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ การยกเลิกภาษีศุลกากรของสหรัฐ ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงภาษี 20% ที่เชื่อมโยงกับเฟนทานิล และภาษีศุลกากรเดิมจากสมัยแรกของทรัมป์ที่ไบเดนยังคงไว้
ปักกิ่งอาจผลักดันให้ผ่อนคลายข้อจำกัดด้านการลงทุน และที่สำคัญคือ การผ่อนปรนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ ซึ่งปักกิ่งมองว่าเป็นความพยายามที่จะขัดขวางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนโดยตรง
เคิร์ต ตง อดีตกงสุลใหญ่สหรัฐ ประจำฮ่องกง และหุ้นส่วนของ The Asia Group กล่าวว่า ขณะที่ไบเดนใช้นโยบาย “สวนเล็ก กำแพงรั้วสูง” ที่ไม่สามารถต่อรองได้ในด้านเทคโนโลยี ทรัมป์กลับมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่าง โดยมุ่งแสดงให้เห็นว่าวิธีการทางการค้าของเขาสามารถนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีให้กับชาวอเมริกันได้
“เขาให้ความสนใจเรื่องการค้า การขาดดุล การลงทุนในสหรัฐ และความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน” ตงกล่าว
สิ่งนี้อาจทำให้แนวคิดการต้อนรับการลงทุนจากจีนในสหรัฐ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลการค้าทวิภาคี เป็นแนวคิดที่น่าสนใจสำหรับทรัมป์ ตามที่เขาได้กล่าวในระหว่างการหาเสียง
"โดยทั่วไปแล้ว ในเมืองนี้ ข้อเสนอนี้ถือเป็นเรื่องต้องห้าม" เจอราร์ด ดิพิปโป ผู้ช่วยผู้อำนวยการที่ศูนย์วิจัยจีน RAND ในวอชิงตัน กล่าว "อย่างไรก็ตาม ถ้ามีประธานาธิบดีคนหนึ่งที่อาจจะกล้าทำ นั่นก็คือ ทรัมป์"
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์