ธนาคารโลก หั่นจีดีพีไทยปีนี้ โต 1.8% ชี้ 3 โอกาสเศรษฐกิจฟื้น
ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า เวิลด์แบงก์ ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยลงมา โดยคาดการณ์ว่าปีนี้จะเติบโตที่ 1.8% และปี 69 คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.7 % ในปี 69 การปรับลดครั้งนี้สะท้อนถึงความท้าทายหลายประการทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
สำหรับความท้าทายสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย เนื่องจากเราพึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมากถึงกว่า 60% ของ GDP โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ความไม่แน่นอนนี้ยังส่งผลให้การลงทุนภายในประเทศชะลอตัวลงด้วย
ขณะเดียวกัน สถานการณ์หนี้ครัวเรือนสูง และกำลังซื้ออ่อนแอ โดยประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในอาเซียน อยู่ที่ประมาณ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ของ GDP ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ของประชาชน รวมถึงยอดสินเชื่อที่เริ่มลดลง ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนในประเทศชะลอตัว และอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอลง
ด้านภาคการท่องเที่ยวชะลอตัว โดยไตรมาสแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจากจีนลดลงอย่างมาก เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในประเทศไทย โดยนักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปประเทศอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่นและมาเลเซียแทน เวิลด์แบงก์จึงปรับประมาณการนักท่องเที่ยวเหลือประมาณ 37 ล้านคนในปีนี้
ขณะเดียวกัน พื้นที่ทางการคลังแคบลง สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 64% ของ GDP และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นสู่ใกล้ 70% สำหรับการเพิ่มขึ้นของหนี้ส่วนหนึ่งมาจากความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับสังคมสูงวัย และนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะที่สูงเกิน 60% มักจะนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจและอาจกดดันให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นได้
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำที่สุด โดยอยู่ที่ประมาณ 0% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบล่างของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าพลังงานที่ลดลง และอีกส่วนมาจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสในการฟื้นตัวและการเติบโต 3 ประการ ได้แก่ 1.นโยบายการคลังที่เน้นการลงทุน ซึ่งรัฐบาลได้ปรับงบประมาณ โดยเฉพาะส่วนที่เคยจัดสรรสำหรับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต มาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 0.8% ของ GDP
“เวิลด์แบงก์ประเมินว่าหากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 100% จะช่วยให้ GDP เพิ่มขึ้นประมาณ 0.2% และลดภาระหนี้ต่อ GDP ลงได้ในระยะปานกลาง”
2. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในภาคเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีในการดึงดูด FDI ในภาคดิจิทัล ศูนย์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตของโลกในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และดิจิทัล
3. ศักยภาพการเติบโตในระยะสั้นและระยะกลาง สำหรับในระยะสั้น หากการเจรจาการค้าสำคัญคืบหน้า และการลงทุนภาคเอกชนและ FDI ฟื้นตัว GDP ของไทยอาจขยับขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 2.2% ในปีนี้ ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขของ ธปท.
ขณะที่ในระยะกลางนั้น มองว่าเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตถึง 3-4% หากมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (รวมถึงดิจิทัล) ทุนมนุษย์ (การศึกษา) การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับธุรกิจใหม่และการจ้างงานใหม่ รวมถึงการเปิดตลาดผ่านข้อตกลงการค้าเชิงลึก (Deep Trade Agreement) โดยเฉพาะในภาคเกษตรและบริการที่ไทยยังไม่ได้เปิดกว้างมากนัก
ดร.เกียรติพงศ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ของประเทศไทยนั้น เรามีจุดเด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลก เช่น ระบบพร้อมเพย์ (Prompay) และบัตรประจำตัวดิจิทัล (Digital ID) ซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายและรวดเร็วในช่วงโควิด-19 รวมถึงการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่สูงถึงประมาณ 90%
ทั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสสำหรับ◦การค้าดิจิทัล (Digital Commerce) สำหรับ MSME โดยคนไทยมีการช้อปปิ้งออนไลน์สูงถึง 90% แต่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) จำนวนมากยังเข้าไม่ถึงหรือใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายตลาดการค้าดิจิทัล
ขณะที่ในด้านการดูแลสุขภาพ (Healthcare) ประเทศไทยมีโอกาสในการรวบรวมและใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านสุขภาพผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์เข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้ทันทีอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
ส่วนการเงินนวัตกรรมและปลอดภัย (Innovative and Secure Finance) ระบบพร้อมเพย์ประสบความสำเร็จอย่างสูงในด้านปริมาณการโอนเงินและต้นทุนที่ต่ำ แต่ยังมีความท้าทายในการแบ่งปันข้อมูลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงประเด็นด้านความปลอดภัยและการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล
ขณะที่ความท้าทายด้านดิจิทัลนั้น ไทยยังเผชิญความท้าทายด้านทักษะดิจิทัล โดยผู้ใหญ่ที่มีทักษะดิจิทัลขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับต่ำเพียงประมาณ 5% และทักษะขั้นสูงประมาณ 1% ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างจริงจัง เช่น สิงคโปร์และเอสโตเนีย