"สีกา ก." ร้องความเป็นธรรม ไม่ได้มีอะไรกับพระ โอดโดนคนใส่ร้าย
จากประเด็นร้อนวงการ ซึ่งรายการโหนกระแส พูดคุยกับอาจารย์จตุรงค์ จงอาษา , รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาฯ ม.รังสิต และ พระมหาวัฒนา ปญฺญาทีโป พระมหาเปรียญธรรม 9 ประโยค อาจารย์ประจำมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คุยกันต่อกรณี เบื้องลึกกรณี สีกา ก. ที่ถูกระบุว่า เป็นคู่กรณีที่ออกมาแบล็กเมล์เจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ เป็นเหตุให้ลาสิกขาอย่างมีเงื่อนงำ
โดยรายงานก่อนหน้านี้ สีกา ก. หญิงวัย 35 ปี ออกมาอ้างกับ อดีตเจ้าคุณอาชว์ อ้างว่าตั้งครรภ์ ข่มขู่เรียกเงิน 7.68 ล้านบาท แต่อดีตเจ้าคุณอาชว์ทราบภายหลังว่าสีกาไม่ได้ตั้งครรภ์จริง จึงปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน ทำให้สีกานำคลิปวิดีโอและแชตสนทนาที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปเปิดเผย เพื่อกดดันให้อดีตเจ้าคุณอาชว์ยอมจ่ายเงิน สุดท้ายคาดว่าเหตุการณ์นี้เป็นสาเหตุที่ทำให้อดีตเจ้าคุณอาชว์ตัดสินใจลาสิกขา
อาจารย์จตุรงค์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สีกาคู่กรณีของทิดอาชว์ เป็นคนเดียวกับที่มีข่าวความสัมพันธ์กับเจ้าคณะจังหวัดแห่งหนึ่ง และยังเป็นคนเดียวกับที่พระอาจารย์พยอมเคยพูดถึงว่าทำให้พระสึกมาแล้ว 2 รูป เชื่อว่าน่าจะมีมากกว่านั้น โดยพฤติการณ์ของหญิงสาวรายนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มีพฤติกรรมล่าแต้มพระชั้นปกครองที่มีฐานะดี และที่มีข่าวว่าเป็นไฮโซก็ต้องตั้งคำถามว่า นำเงินจากที่ไหนมาใช้ชีวิตหรูหรา ซึ่งสุดท้ายก็คือเงินจากพระทั้งนั้น
ที่พีกก็คือ ข้อมูลที่ อ.จตุรงค์ ได้มาจากสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีการตรวจสอบพบว่า สีกา ก. มีลูก 3 คน คนโตอายุ 13 ปี โดย 2 จาก 3 คน เอาพระสงฆ์ระดับปกครอง มาเซ็นรับรองบุตร
ลูกคนโต ได้อดีตเจ้าคณะตำบลแห่งหนึ่ง ใน จ.พิษณุโลก มาเซ็นรับรองบุตรคนแรกให้ ไม่รู้ว่าเป็นลูกของท่าน หรือเป็นลูกของใคร แต่ท่านไปเซ็นรับรองบุตรแบบนี้ มันไม่เหมาะไม่ควร ท่านไปเซ็นทำไม อ.จตุรงค์บอกว่า มีข้อมูลว่า อดีตเจ้าคณะตำบลท่านนี้ ชิงสึกจากพระเพราะโดนขุดคุ้ย แต่ล่าสุดทราบว่า กลับมาบวชใหม่ เป็นเจ้าอาวาส
ส่วนลูกคนที่ 2 ก็ได้พระรูปที่ 2 เป็นพระที่เป็นระดับอาจารย์ ป.ธ.9 ระดับ ผศ.ดร. เป็นอาจารย์สงฆ์ จนมีคนขุดคุ้ยมากๆ ท่านก็ชิงสึกเป็นฆราวาส และไม่กลับมาบวชใหม่ ปัจจุบันเป็นอาจารย์อยู่
ต่อมา เธอได้สามีคนที่ 3 เป็นพระระดับเจ้าคณะจังหวัดแห่งหนึ่ง คนนี้ไม่มีการรับรองบุตรเอง แต่ไปเอาวงศาคณาญาติมาเซ็นรับรองบุตรแทน แต่ชาวบ้านเขารู้ทัน ก็เลยไปร้องเรียนจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ซึ่งว่ากันว่า ทรัพย์สินของไฮโซ รถหรู กระเป๋าหรู ทั้งหลายของหญิงคนนี้ จนถูกขนานนามว่าเป็น “ไฮโซ” ก็น่าจะได้มาจากพระรูปนี้
ต่อมา สามีคนที่ 4 เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เลิกรา หย่าร้างกันไปแล้ว
ส่วนสามีคนที่ 5 ก็คือเจ้าคุณอาชว์ ซึ่งเป็นเจ้าคณะภาค บอกเลยว่าหญิงคนนี้มีพฤติกรรม ขยับระดับของเหยื่อให้เป็นระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้ทำให้ ทั้ง อ.จตุรงค์ และ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ มองว่าเป็นพฤติกรรมที่ทำติดเป็นนิสัย เจตนาเลือกพระเป็นเป้าหมาย เพราะว่า พระระดับพระผู้ใหญ่ มีเงินทองเยอะ และอาจจะเพราะเป็นพระที่บวชมานาน ก็อาจจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้หญิง หรือจะบอกว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวของสตรีคนนี้ ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน
ขณะที่ พระมหาวัฒนา ปญฺญาทีโป บอกว่า พระระดับปกครองทั้งหลาย โดยปกติจะชื่นชอบ “แม่ม่ายทรงเครื่อง” ไม่ใช่ในทางกามารมณ์ แต่ว่า โยมอุบาสิกา ที่นั่งรถหรู ทรัพย์สินเยอะ ก็มักจะทำบุญเยอะ เงินทองปัจจัยจำนวนมากๆ พระทั้งหลายที่เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ หลายรูป ไม่ได้พูดกันเรื่องศีลเรื่องธรรมแล้ว แต่พูดกันเรื่อง ลาภสักการะ ตามหลักแล้ว ยิ่งเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ยิ่งต้องละให้ได้ แต่ปัจจุบันนี้มันไม่ใช่แบบนั้น
เมื่อพระไปโฟกัสเฉพาะ สีกา แม่ม่ายทรงเครื่อง ญาติโยมที่รวยๆ มันก็เป็นเหตุให้นำไปสู่การเสื่อมเสีย การผิดศีล ผิดพระธรรมวินัย ทั้งที่หากย้อนไปดูพระทั้งหลายที่ตกเป็นข่าว ในตอนแรกเริ่ม เขาก็เป็นพระที่เคร่งครัดมาตั้งแต่แรกเริ่ม ที่มาเสียพระ เสียคนในตอนท้าย ก็เพราะกิเลสมารทั้งหลายเหล่านี้นั่นเอง
- ระหว่างที่พูดคุยในรายการ สีกา ก. โฟนอินเข้ามาชี้แจงว่า ข่าวที่ออกไป ไม่เป็นความจริงเลย โดยขอชี้แจงดังนี้
กรณีพระรูปที่ 1 ที่เซ็นรับรองบุตร ท่านไม่ใช่พ่อของลูก แต่พ่อที่แท้จริงเขามีภรรยา มีครอบครัวอยู่แล้ว เราไม่รู้จะทำยังไง พระท่านเป็นญาติกับทางครอบครัวตน ท่านคอยช่วยเหลือทางครอบครัวเราอยู่แล้ว เราไม่ได้คิดไกลว่ามันผิดหรือไม่ผิด ท่านก็เลยมาเซ็นให้ แต่ ณ เวลานั้นไม่รู้ว่าพระเซ็นได้หรือไม่ได้ แต่ก็เซ็นไปแล้ว และขอยืนยันว่าไม่เคยมีสัมพันธ์กับพระรูปแรกแน่นอน สิ่งต่างๆที่พูด สามารถตรวจ DNA พิสูจน์ได้
กรณีที่ 2 เขาสึกจากพระ เพราะเขาเรียนจบด็อกเตอร์แล้ว ตั้งแต่ปี 57 และต้องสึกมาทำงาน เราแต่งงานกันถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากที่ท่านสึก รู้จักกันหลังจากที่ท่านสึกแล้ว ไม่ได้มีสัมพันธ์กันตอนเขาเป็นพระ ซึ่งตนท้องลูกคนที่ 2 ตอนปี 58 ไม่จริงว่าเขาสึกเพราะตนท้อง มีใบเกิดของลูกยืนยันได้ เลิกรากันตอนปี 59 ถามว่าทำไมถึงใช้เวลาคบหาดูใจน้อยมาก ตนมองว่า ถ้าคนจะรักกัน จะใช้เวลามากหรือน้อยก็ไม่สำคัญ
ส่วนประเด็นที่ 3 เจ้าคณะจังหวัด ท่านเสื่อมเสียเพราะข่าวออกไป แล้วมากล่าวหาว่าลูกคนที่สามเป็นลูกของท่าน ก็ไม่จริงเลย ยินดีให้ตรวจ DNA เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้ท่าน ตนกับเจ้าคณะจังหวัดไม่ได้มีสัมพันธ์ชู้สาวกันเลย ส่วนที่ให้น้ามาเซ็นรับรองบุตร เพราะตนมีปัญหาส่วนตัว พ่อที่แท้จริงไม่สามารถมาเซ็นให้ได้ ตนเลี้ยงดูและส่งเสียลูกเองทั้งหมด ความสัมพันธ์กับเจ้าคณะจังหวัดเป็นเพียงการเลื่อมใสศรัทธา ตามประสาคนทำบุญเท่านั้น
เรื่องทั้งหมดที่มีการกล่าวหา พาดพิงตน มันเกิดจากข่าวใหญ่เมื่อปี 2566 ที่มีชาวบ้านออกมาประท้วง ตนเคยให้สามีทำหนังสือชี้แจงไปทางเจ้าคณะภาคแล้ว ตอนนั้นไม่ได้ตรวจ DNA เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ส่วนเรื่องสามีที่เป็นนักการเมือง ตนก็ไม่อยากไปพาดพิงอะไรเขาอีก เพราะว่าเขามีภรรยา มีครอบครัวอยู่แล้ว เขามีภรรยาอยู่แล้ว 2 คน แล้วเขาไปให้ข่าวว่า ตนไปหลอกให้เขาแต่งงาน แล้วหมดเงินกับตนไปเยอะๆ มันจะจริงไหม
แล้วเรื่องของอดีตเจ้าคุณอาชว์ ตนบอกได้เพียงว่า ไม่ได้เจอท่านนานแล้ว ไม่ได้มีการรีดไถใดๆ ทั้งนั้น ยินดีให้ข้อมูลกับตำรวจ แต่เรื่องอื่นๆ ตนไม่ขอพูดอีก เพราะที่โทรมาวันนี้ ตั้งใจแค่มาชี้แจงให้คนที่ 1 2 3 4 ที่เขาเดือดร้อนเพราะถูกโยงมั่ว ยืนยันว่า ข้อเท็จจริงเรารู้กันอยู่แก่ใจ ถ้าคนที่เขาคุยแชทกับตนดูรายการอยู่ เขาจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง
ถามว่าตนทำงาน ทำอาชีพอะไร ตนมีธุรกิจส่วนตัว แต่ไม่ขอบอกว่าธุรกิจอะไร เรื่องรถหรู เรื่องกระเป๋า เรามีเพื่อนเยอะ ก็มีรถเพื่อนบ้าง กระเป๋าเพื่อนบ้าง ตนเป็นคนธรรมดาไม่ใช่ไฮโซมาจากไหน
หากหลังจากนี้ มีหน่วยงานไหนจะให้ตรวจ DNA ก็ยินดีอย่างที่สุด เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้พระที่เสื่อมเสีย ด่างพร้อย จากข่าวที่ไม่จริง ส่วนข่าวที่ออกไป เชื่อว่าเป็นคนในพื้นที่ ในจังหวัด ที่ไม่ชอบตน เขาไปให้ข่าวกับสื่อ เป็นคนเดียวกับที่ออกมาให้ร้ายตนเมื่อปี 66 และตนเตรียมจะดำเนินคดีกับคนที่ให้ข่าวปลอมแล้ว
และตอนนี้ที่แย่ที่สุดคือ มันกระทบลูกทั้ง 3 คนของตน ลูกไปโรงเรียนก็ต้องเจอคำถามอะไรแบบนี้ สิ่งที่ตนออกมาพูดวันนี้ มันคือเรื่องทั้งหมดที่ตนจะพูดได้แล้ว
ขณะที่ ทนายรณณรงค์ บอกว่า การให้พระ หรือน้า มาเซ็นรับรองบุตร โดยที่ไม่ได้เป็นบิดาทางสายเลือด มีความผิด กฎหมายกำหนดให้บิดาทางสายโลหิตเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าหมดอายุความหรือยัง เป็นความผิดทางอาญา ฐาน แจ้งความเท็จเพื่อให้บันทึกในเอกสารราชการอันเป็นเท็จ ถ้าพระบอกว่าไม่ได้เป็นพ่อเด็กไปเซ็นทำไม เรื่องนี้ตำรวจต้องไปดู
แล้วที่ท้าตรวจ DNA กับเจ้าคณะคนนั้น คนนี้ มันตรวจไม่ได้ มันผิดสวัสดิภาพเด็ก ต้องเอาพ่อที่แท้จริงมาตรวจ ไม่ใช่ไปตรวจใครมั่วซั่ว ถ้าบอกว่าพระไม่ใช่พ่อของเด็ก แล้วจะเอาพระไปตรวจได้ไง