เช้านี้หุ้นไทยบวกต่อเป็นวันที่ 4 จับตา กนง.13 ส.ค. “ลด-ไม่ลด” ดอกเบี้ย

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – หุ้นไทยเช้านี้บวกต่อเป็นวันที่ 4 โดยเช้านี้บวกกว่า 12 จุด คาดเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง ด้านนักวิเคราะห์เสียงแตก ประเมิน กนง.ประชุม 13 ส.ค.นี้ ลดหรือไม่ลดดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อติดลบ 4 เดือนต่อเนื่อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้บวกต่อ 12 จุด เมื่อเวลา 10.44 น. SET index อยู่ที่ 1,277 จุด ปัจจัยหลักจาก Fund Flow ไหลเข้า ขณะที่นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.กรุงศรี กล่าวว่า อิทธิพลของ Dollar Index ที่อ่อนค่า หนุนให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia)และไทย เกิดการกลับสถานะการลงทุน แต่อีกกระแสทุนไหลเข้าไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับโคงสร้าง ศูนย์กลาง Sustainable Investment Fund ในอาเซียน จาก Thai ESG นอกจากนี้พบเงินไหลเข้า Theme Broad Thematic (กลุ่มพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน) แต่ไหลออกจาก Energy Transition, Future Mobility กลยุทธ์วันนี้ จับตากลุ่มพลังงานหมุนเวียนเด่น รับกระแสนักลงทุน Global Sustainable Investment Fund เลือก Broad Thematic Play
ในขณะที่เงินเฟ้อไทยต่ำกว่าคาด ก็ส่งผลให้ Bond Yield ลงต่ำสุดรอบ 30 เดือน โดย TH Bond Yield อายุ 1 ปี ลงสู่ 1.384% ต่ำสุดนับจาก ม.ค. 2023, และ ตลาดเริ่ม “Price-in” การลดดอกเบี้ยของ กนง. ในไตรมาส 4 ปีนี้ วิจัยกรุงศรีประเมินว่าจะเป็นปัจจัยส่งผลให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 13 สิงหาคมนี้ มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ลงไปสู่ระดับ 1.50%

อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดศึกภาษีรอบใหม่ ทั้งกรณี บริษัทที่ไม่ลงทุนในสหรัฐ เสี่ยงโดนภาษีชิป 100%, การขึ้นภาษีจากอินเดีย ภาษีนำเข้าเป็น 50% จาก 25% สูงสุดในตลาดเกิดใหม่ โดยอินเดียแม้มีผลกระทบจำกัด เพราะส่งออก 22% ของ GDP ไปสหรัฐฯ 18% แต่จิตวิทยาว่าทิศทางกำลังเปลี่ยนในเรื่อง ห่วงโซ่การผลิตจะถูกเลือกข้าง นอกจากนี้กรณี Apple รีบประกาศลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ ทันที มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ตลาดเริ่มจับสัญญาณว่าผู้นำธุรกิจใหญ่จะทยอย “กลับบ้าน” ซึ่งกรณีเหล่านี้ อาจเป็นโอกาสของไทย อาจกลายเป็น “Third Strategic Node” ที่ทุนไหลเข้าแทนจีน-อินเดีย กลุ่มนิคมฯจะได้ประโยชน์

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลง อีกทั้งราคาพลังงานในตลาดโลก มีแนวโน้มชะลอลงมากตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่ความเสี่ยงด้านอุปทานขาดแคลน จากสงครามในตะวันออกกลางดูมีจำกัด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์เงินเฟ้อไทยในปีนี้ ที่ 0.3% ต่ำกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ที่ 1.0% และสภาพัฒน์ฯ) คาดการณ์ไว้ที่ 0.5% คาด กนง.คงดอกเบี้ยรอบนี้ที่ 1.75%

บล.กสิกรไทย คาดว่าการประชุม กนง.วันที่ 13 ส.ค.นี้ คาด กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมที่ 1.75% เช่นเดียวกันการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.68 โดยประเมินว่า ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงที่ลดลง โดยเฉพาะความเสี่ยงสำคัญจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ หลังจากที่ไทยได้มีข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทนั้น คาดว่า ณ สิ้นปี 68 เงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.70 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ระยะสั้น ยังมีความผันผวนสูงตามการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมีโอกาสจะเกิดขึ้นมากในเดือน ก.ย.นี้ หลังตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ เดือน ก.ค.อ่อนแอกว่าคาด และมีการปรับลดตัวเลขจ้างงานก่อนหน้าลงมาก ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของทรัมป์ เริ่มมีความชัดเจน

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน ก.ค.68 ลดลง -0.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งหดตัวแรงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ -0.4% และนับเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่าไฟฟ้าตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ รวมทั้งราคาสินค้ากลุ่มผัก-ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคลมีราคาลดลง .-511- สำนักข่าวไทย