ดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% หนุนธุรกิจ บรรเทากลุ่มเปราะบาง รับมือเศรษฐกิจไทย
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งที่ 4 ของปีเมื่อ 13 สิงหาคม 2568 มีมติเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี หลังจากกรรมการทั้ง 6 ท่านเห็นตรงกันว่า สามารถที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมได้บ้าง เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง
ขณะที่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อล่าสุดประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และในปี 2569 ว่า มีแนวโน้มขยายตัวขะลอลง โดยการส่งออกสินค้าจะได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มากขึ้นหลังการเร่งส่งออกสินค้าหมดไป การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง
โดยเฉพาะหมวดบริการ ตามแนวโน้มรายได้และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวแย่ลงในเกือบทุกกลุ่มรายได้ และจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2568 และปี 2569 ปรับลดลงปีละ 2.5 ล้านคน มาอยู่ที่ 35 และ 38 ล้านคน ตามลำดับ
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า คณะกรรมการกนง. มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 และปี 2569 ขยายใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เมื่อเดือนมิถุนายน แต่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ ทั้งที่จะมีผลโดยตรงและทางอ้อมจะซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามารถของการแข่งขัน โดยเฉพาะกับธุรกิจมีความเปราะบางอยู่เดิม (ธุรกิจ SME และกลุ่มรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาท)
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้น แนวโน้มจะเติบโตต่ำกว่าครึ่งปีแรกจากแรงส่งของเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังและทอดยาวไปต้นปีหน้าด้วย เนื่องจากผลมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐที่จะเห็นชัดขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลัง โดยมีลักษณะทอดยาวและมีการปรับตัวของภาคธุรกิจ มองไปข้างหน้า จะเริ่มเห็นผลกระทบ แต่ไม่มากจากที่คาดไว้ก่อนหน้า เพราะไทยได้รับอัตราภาษีไม่ต่างจากคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งเป็นจุดดี
ทั้งนี้ ธปท.แบ่งการส่งออกเป็น 3กลุ่มคือ กลุ่มที่โดนภาษีนำเข้าสหรัฐ(RT) ซึ่งจะเห็นการชะลดลงในระยะต่อไป รวมถึงารส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียม ยานยนต์และชิ้นส่วนที่โดนภาษีเท่ากันจะเห็นความต้องการปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมีการเร่งตัวมาก่อนหน้า ส่วนหนึ่งวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงมีต่อเนื่องและไปต่อได้บ้าง โดยต้องติดตามว่า สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีกลุ่มนี้หรือไม่
อย่างไรก็ดี กลุ่มที่ไม่โดนภาษีนำเข้าของสหรัฐ จะเห็นจุดเปราะบางเพิ่มสูงขึ้นสำหรับเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ โดยเครื่องชี้ภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มปักหัวลงในช่วงหลัง มาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะการปรับลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวระยะสั้น ซึ่งธปท.จะปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวในครั้งหน้า ส่วนเครื่องยนต์อื่นทรงตัวยังไม่เห็นสัญญาณที่มีการปรับดีขึ้นชัด
มองไปข้างหน้า ในส่วนของภาพเศรษฐกิจรายย่อยจะเห็นความเปราะบางเพิ่มมากขึ้น โดยมาจากภาคท่องเที่ยวที่มีการจ้างงานค่อนข้างมาก (มีอาชีพอิสระค่อนข้างมาก) จะกระทบกับรายได้ของคนในวงกว้าง กระทบเอสเอ็มอีและกระทบการบริโภคภาคเอกชนต่อไป
“เราเจอปัญหาเชิงโครงสร้างและขีดความสามรถในการแข่งขัน ในแง่การผลิตใกล้เคียงศูนย์ แถมต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าด้วย โดยจะเห็นการเติบโตมาจากกลุ่มขนาดใหญ่มากขึ้น”
สำหรับภาคบริการนั้น ไส้ในเดิมเป็นกลุ่มเอสเอ็มอีแต่ตอนนี้น้อยลง ดังนั้นจะเห็นกลุ่มเอสเอ็มอีทั้งภาคบริการและการผลิต ธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs เผชิญความท้าทายในการปรับตัว ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งภาคบริการและการผลิต 99.6% ของจำนวนธุรกิจ หรือ 91% ของแรงงาน จึงกระทบในวงกว้างและจะส่งผลต่อการบริโภคของภาคเอกชนในระยะต่อไปด้วย
ในแง่เงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในระดับต่ำ โดยเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงจากประมาณการครั้งก่อน หลักๆ มาจากปัจจัยด้านอุปทาน โดยราคาพลังงานที่ปรับลดลงจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่คลี่คลายลง และอาหารสดจากสภาพอากาศที่ดี ทำให้ราคาพืชผลต่ำ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงที่ใกล้เคียงที่ประเมินไว้ที่ 1.0%
สำหรับภาวะการเงิน สินเชื่อที่ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไฮไลต์ที่กรรมการคุยกันในรอบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ที่สูงขึ้นและการชำระคืนหนี้ของธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งความต้องการใช้สินเชื่อหรือการลงทุนน้อยลง ส่วนคุณภาพสินเชื่อด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีและรายย่อยที่มีรายได้น้อยต่ำกว่า 30,000บาท ทำให้สินเชื่อหดตัวมากกว่ากลุ่มอื่น (และหดตัวในหลายไตรมาส)
ส่วนภาคครัวเรือนนั้นโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยยังเห็นเอ็นพีแอลค่อยๆปรับตัวเพิ่มต่อแม้จะไม่รุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัย ดังนั้นสินเชื่อยังชะลอตัวทั้งในกลุ่มเอสเอ็มอีและสินเชื่อที่อยู่อาศัย
“ภาพรวมสินเชื่อที่ชะลอตัว เพราะช่วงโควิด มีมาตรการเร่งช่วยเหลือประคอง ทำให้หนี้ภาคเอกชนขยายตัว แม้เศรษฐกิจหดตัวสูง ยอดคงค้างสินเชื่อชะลอลงจากการเร่งชำระคืนหนี้เป็นสำคัญ"
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่มีการคืนหนี้และความต้องการสินเชื่อลดลง แต่ในทางกลับกันกับธุรกิจขนาดเล็กที่ยังมีความต้องการสินเชื่อ แต่ธนาคารยังระมัดระวัง ทำให้ภาพสินเชื่อปล่อยใหม่โดยรวมยังทรงตัว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,123 วันที่ 17 - 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568