‘เป้ MVL’ ยันตัวเองไม่ใช่คนเดิม ทุกสิ่งในชีวิตเปลี่ยนเพราะถูกลูกแฝดกำราบเสือ!
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่ในอดีตมีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าชู้ไม่แพ้ใครเลยสำหรับ เป้-บดินทร์ เจริญราษฎร์ หรือเป้ MVL แต่ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเปิดใจถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากหน้ามือและอีกหนึ่งบทบาทที่ท้าทายทายฝีมือกับประสบการณ์ที่สั่งสมมาดว่า20ปี ในฐานะ show director และ music director ในคอนเสิร์ต "ลิเกออนแอร์ ตอน ซี๊ดแน่ แม่จ๋า” โดยเป้เผยว่า
“กับบทบาทใหม่ในครั้งนี้ก็ตื่นเต้นครับเพราะส่วน ใหญ่เวลาทำอยู่เบื้องหลังจะเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ในสตูดิโอ แต่งเพลง แต่ว่าคราวนี้รู้สึกว่าเราได้มีโอกาสใช้ประสบการณ์ ได้ใช้ความสามารถในอีก เชิงหนึ่งที่เราไม่เคยได้ทำมาก่อน ก็ต้องขอบคุณพี่ๆผู้ใหญ่รวมถึงพี่ๆสื่อมวลชนเพื่อนๆศิลปินหลายท่านที่มองเห็นในศักยภาพและให้โอกาส ขอบคุณมากๆแล้วก็จะทำให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เสียกับโอกาสที่ได้มา“
“ถามว่ายากไหมสำหรับการเป็นศิลปินที่อยู่ในเบื้องหน้ามาตลอดแล้ววันนี้ต้องมาทำอยู่เบื้องหลัง จริงๆผมมองว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะว่าเราอยู่ในวงการนี้มาประมาณเกือบ 20 ปีการที่เราจะเอาประสบการณ์เหล่านี้มาช่วยมาผลักดันให้เกิดสิ่งใหม่ๆกับวงการบ้านเราได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชาเลนจ์ น่าทำ น่าตื่นเต้นพอเราได้ทำมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ การที่เราเป็นโชว์ไดเรคเตอร์หรือเป็นมิวสิกไดเรคเตอร์ มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำทุกอย่าง แต่กลับกันเราเป็นคนที่ต้องกระจายงานให้กับทุกๆคน เพราะเรารู้ดีว่าลำพังเราคนเดียวไม่สามารถทำให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ให้มันสำเร็จได้ด้วยตัวผมเอง มันก็เลยต้องมีการแบ่งแยกหน้าที่ ตระเตรียมคน สิ่งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าอะไรที่เราไม่เคยทำหรือว่าเรื่องที่มันใหญ่มากๆล้นมือ เราทำคนเดียวไม่ได้ต้องมีทีมที่ดีด้วย”
เป้ เผยต่อว่า “โปรเจ็คนี้เป็นโปรเจ็คที่ใหญ่สุดสำหรับผมเพราะนี่เป็นครั้งแรก เราไม่มีข้อเปรียบเทียบอะไรเลยเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ทำเป็นโปรเจ็คพิเศษที่มีทั้งคณะศรรามน้ำเพชรซึ่งถ้ามองกันปอนด์ต่อปอนด์ก็คือคณะลิเกอันดับหนึ่งในประเทศไทยตอนนี้ รวมไปถึงเดอะรูบเองก็เป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จในเชิงของยอดวิวที่ถล่มทลายเกือบพันล้านวิว”
“ถามว่ากดดันไหมในความคาดหวังตอนแรกผมก็กดดันพอสมควร เพราะเป็นงานที่ผมไม่เคยทำ เราไม่เคยมีประสบการณ์ในตำแหน่งนี้มาก่อน ก็เลยต้องพัฒนาในทุกๆเรื่องอย่างเฉียบพลัน และรู้สึกว่าในทุกๆวันมีอะไรให้เราแก้ไขตลอด แต่ต้องยกเครดิตให้ทีม เพราะทีมเป็นคนที่ทำให้คอนเสิร์ตครั้งนี้มันออกมาได้ดีมากๆ”
เป้ เผย ถึงความซนของลูกว่า“ในส่วนของลูกแฝดสองคน เพิ่งจะอายุ 4 ขวบครับ ยิ่งเด็กๆโตขึ้นมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรารู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่างที่บอกเด็กๆเขาเหมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนตัวเรา ไม่ว่าเราจะเป็นแบบไหนเขาก็จะเป็นแบบนั้น เราอยากให้ลูกเป็นเด็กที่ใจเย็น เราต้องใจเย็น อยากให้ลูกเป็นคนมีเหตุผล เรทก็ต้องคนมีเหตุผลกับลูก สิ่งเหล่านี้มันหล่อหลอมจนทำให้เรารู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มองทุกอย่างเป็นลอจิกมากขึ้น เราเข้าใจในธรรมชาติและความเปลี่ยนไปหลังจากเป็นพ่อ คือผมแสวงหาความมั่นคงจากเมื่อก่อนเราใช้ชีวิตด้วยความสนุกสนาน ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะมีหรือเปล่า แต่ทุกวันนี้เรารู้สึกว่าเราขับรถช้าลง รู้สึกว่าอยากมีใครสักคนมาดูแลเรา อยากจะปลอดภัยเพื่อกลับบ้าน”
“ทุกๆวันทำงานเสร็จก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะไปไหนต่อ รู้สึกอยากรีบกลับบ้านเพื่อไปชาร์จแบตให้ชีวิตตัวเอง กลับไปกอดลูกและไลฟ์สไตล์ผมเปลี่ยนไปในทางที่ปลอดภัยมากขึ้น แล้วเราก็มีเวลากับครอบครัวมากขึ้น มีเวลาได้ทำงานที่เราไม่เคยได้ทำมากขึ้น อย่างวันนี้ที่ผมมีโอกาสได้เป็นโชว์ไดเรกเตอร์หรือว่ามิวสิกไดเรคเตอร์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีครอบครัว ทำให้เราเริ่มรู้สึกแล้วว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ลำพังตัวเราคนเดียวเรายังไงก็ได้ แต่ว่าวันนี้เรามีลูก มีภรรยาแล้วเราพลาดไม่ได้ต้องปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”
เป้ เผยอีกว่า“ถามว่าการเลี้ยงลูกในยุคนี้มันยากขึ้นไหม ผมว่ายากขึ้นเยอะ อันดับแรกโรคภัยไข้เจ็บมันเยอะใครมีลูกเล็กก็จะทราบดี อย่างลูกผมเข้าอนุบาลเรียน 2 วันป่วยอาทิตย์นึงออดๆแอดๆตลอดเวลา ถ้ามองย้อนกลับไปในสมัยผมก็จะทราบดีว่าเราไม่เคยมีอาการป่วยเป็นอาทิตย์ ไวรัสต่างๆเราแทบไม่รู้จักเลย เพิ่งจะมารู้จักตอนที่มีลูก แต่เราก็ต้องปรับตัว เลยทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้าใจโลกมากขึ้นและมีความละเอียดอ่อนในจิตใจมากขึ้น คือพอเราอยู่กับเด็กเลยทำให้เราเข้าใจว่าเราต้องมีความละเอียดอ่อน“
“เรื่องสอนลูกให้ใช้ชีวิตจริงๆแล้วผมไม่สามารถเอาประสบการณ์ชีวิตของผมไปสอนลูกได้ เพราะผมมองว่า ประสบการณ์ของลูกเป็นสิ่งที่ลูกต้องสร้างเอง บวกกับอนาคตของเขา เขาต้องเป็นคนเลือกเอง เรามีหน้าที่แค่สองอย่างคือมีบ้านเป็นเซฟโซนให้กับเขา กลับบ้านมาเมื่อไหร่เราไม่มีการตอกย้ำหรือถามหาความจริง กลับมาบ้านแล้ว เรามีบ้านเพื่อพักผ่อนเติมความรักให้กันและกัน และอีกอย่างหนึ่งคือเรามีหน้าที่ซัพพอร์ตเขา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามถ้ามันเป็นเรื่องที่ดี หน้าที่ของเราต้องซัพพอร์ตเขาให้ไปในทางที่ถูกต้อง”
“ตอนนี้ลูกชายทั้งสองอยู่ในวัยซนอีกอย่างพอเรามีลูกแฝดมันทำให้ทุกอย่างคูณสองไปหมด อันนี้ผมยกตัวอย่างให้ดู คนหนึ่งอยากเอาหัวตัวเองไปวัดกับพื้น อีกคนก็อยากจะรู้ว่าถ้าเกิดว่าคนนี้หัวไม่แตก แล้วตัวเขาจะหัวแตกไหมนะ หรือบางทีอีกคนอยากจะกระโดดโซฟา อีกคนก็อยากจะกระโดดให้มันไกลกว่านั้น หรือมีถุงพลาสติกตกที่พื้นพอเราบอกว่ามันลื่นนะ เขาก็จะอยากรู้ว่ามันจะลื่นจริงหรือเปล่าก็เลยวิ่งผ่านถุงไป เราก็ทำได้แค่เปลี่ยนบ้านให้ปลอดภัย ทำพื้นให้มันนิ่มขึ้น ลบเหลี่ยมลบมุมถ้าให้เปลี่ยนลูกไม่ไหวครับ พ่อแม่มีลูกในวัยเดียวกันก็น่าจะทราบดี ยิ่งมีลูกสองคนในวัยเดียวกัน เปลี่ยนลูกเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเปลี่ยนโลกน่าจะง่ายกว่า”
“ถามว่าพ่อกับแม่ใครดุมากกว่ากัน อันนี้จริงๆแล้วก็แล้วแต่สถานการณ์มากกว่า ถ้าเกิดว่าช่วงนั้นใครเจอลูกก่อน เช่นถ้าเกิดว่าวันนั้นใครดีลกับลูกทั้งวันเจอกับลูกทั้งวันก็จะโมโหก่อน อย่างบางทีผมตื่นสาย ลงมาเจอลูกเราก็อาจจะใจเย็นหน่อย ก็จะให้ภรรยาห้องไปพักทำใจให้เย็นก่อน”
“ลูกกลัวใครมากกว่า จริงๆไม่กล้าพูดคิดว่าน่าจะสลับกันมั้งครับ กร(ภรรยา)เขาจะเป็นคนที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชลูกมากกว่าตามสไตล์ผู้หญิง แต่อย่างของผมจะเป็นไม้สุดท้ายถ้าลูกไม่ขยับเราก็จะนับหนึ่งถึงสาม ถามว่าลูกกลัวไหมเขาก็ไม่กลัวหรอก อย่างล่าสุดบอกให้ลูกไปอาบน้ำ บอกว่าจะนับแค่ 3 ผมกำลังจะนับหนึ่งถึงสาม เขาก็จะต่อเป็น สี่ ห้า หก เจ็ด รู้เลยว่าได้ใคร ลูกเป็นกระจกเงาจริงๆครับ แต่ก็สนุกดีมันทำให้เราใจเย็นมากขึ้น(กัดฟัน)”
“สำหรับลูกคนต่อไปยังไม่มีแพลนเลยครับอยากจะเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนตอนนี้ให้ดีก่อน อยากจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เรายังไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งภัยพิบัติ สงคราม สังคมที่ดูน่าเสี่ยงมากขึ้น เราไม่แน่ใจว่า ณ ตอนนี้มันเหมาะหรือเปล่ากับการที่เราจะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นมา เราคิดว่าตอนนี้เอาลูกสองคนให้ดีก่อน ส่วนที่เหลือถ้าเขาจะมาก็เป็นไปตามนั้น แต่ถ้าถามว่าจะพยายามทำให้ไหมยังไม่มีแพลนครับ”
ขอบคุณภาพจาก:thisismvl