ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ BTS ที่ "BBB+" แนวโน้ม "Stable"
#BTS #ทันหุ้น-ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาทของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ที่ระดับ “BBB+” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง (Operating and Maintenance — O&M) ตามสัญญาระยะยาว ตลอดจนกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTS Rail Mass Transit Growth Infrastructure Fund — BTSGIF) และสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณา อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีปัจจัยลดทอนจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทจากการลงทุนจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนผลการดำเนินงานของรถไฟฟ้ารางเดี่ยวสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ยังเติบโตได้ช้า และการรวมผลการดำเนินงานของธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจขนส่งมวลชนซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าเข้ามาในงบการเงินของบริษัท
ในปีการเงิน 2568 (เมษายน 2567 – มีนาคม 2568) รายได้ของบริษัท (ไม่รวมรายได้จากการให้บริการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้าง รวมทั้งการจัดหาขบวนรถไฟฟ้า) เพิ่มขึ้น 36% เป็น 1.83 หมื่นล้านบาท และเติบโตต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีการเงิน 2569 (เมษายน – มิถุนายน 2568) โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 57% เทียบกับปีก่อนหน้าเป็น 5.4 พันล้านบาท การเติบโตของรายได้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรวมผลประกอบการทางการเงินของ บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (RABBIT) และ บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) (ROCTEC) ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 เป็นต้นมา รวมถึงรายได้จากธุรกิจขนส่งมวลชนที่เพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยบริษัทมี EBITDA เติบโตขึ้น 28% เป็น 8.5 พันล้านบาทในปีการเงิน 2568 และเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าเป็น 2.6 พันล้านบาทในไตรมาสแรกของปีการเงิน 2569 ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 12.6 เท่า ณ ไตรมาสแรกของปีการเงิน 2569 ซึ่งยังคงสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้งซึ่งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงเหลือประมาณ 11 เท่าในช่วงปีการเงิน 2569-2571 เนื่องจากคาดว่าบริษัทจะทยอยได้รับชำระหนี้ค่าจ้างในการให้บริการ O&M ส่วนที่เหลือจากกรุงเทพมหานครในปีการเงิน 2569-2570
ณ เดือนมิถุนายน 2568 บริษัทมีหนี้สินที่เป็นภาระดอกเบี้ย (ไม่รวมหนี้สินส่วนงานโยธาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง) รวมทั้งสิ้นจำนวน 1.44 แสนล้านบาทซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวน 5.4 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนนั้นประกอบไปด้วยหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 37%
**แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ จากผลของการเติบโตของรายได้จากการให้บริการตามสัญญา O&M ตลอดจนจากผลการดำเนินงานของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของธุรกิจสื่อโฆษณา และการรวมผลการดำเนินงานของ RABBIT และ ROCTEC เข้ามาในงบการเงินรวมของบริษัท นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่ากรุงเทพมหานครจะจ่ายคืนหนี้ที่คงค้างอยู่ให้แก่บริษัทในช่วง 2 ปีข้างหน้าอีกด้วย
**ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือภาระหนี้ของบริษัทที่ลดลงอย่างมาก ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าประมาณการของทริสเรทติ้ง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ หรือบริษัทมีการลงทุนเพิ่มเติมโดยใช้เงินกู้เป็นแหล่งเงินทุนในจำนวนมากกว่าที่คาดไว้