‘อ.ปริญญา’ วิเคราะห์ 5 ข้อ ถ้า ‘พรรคประชาชน’ ไม่เลือกใคร จะเกิดอะไรขึ้น เชื่อเรื่องไม่จบ
3ก.ย.2568 - ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ [ ถ้าพรรคประชาชน #ไม่เลือกใคร จะเกิดอะไรขึ้น? ] มีเนื้อหาดังนี้
พรรคประชาชนนอกจากจะมีทางเลือกสองทางคือ เลือกยกมือให้ #คุณชัยเกษม พรรคเพื่อไทย หรือเลือกยกมือให้ #คุณอนุทิน พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชนยังมีอีกทางเลือกอีกหนึ่งทางคือ #ไม่เลือกใครเลย
คำถามคือ ถ้าพรรคประชาชนเลือกทางนี้ คือไม่เลือกใครเลยจะเกิดอะไรขึ้น? ซึ่งผมขอกล่าวถึงในแง่มุมทางการเมืองกับกติกาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ดังนี้ครับ
1. มาตรา 159 วรรคสามกำหนดว่า มติในการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องมี “คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร” ขณะนี้มี ส.ส. 492 คน คะแนนเสียงในการที่คุณชัยเกษม หรือคุณอนุทิน จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงต้องได้คะแนนเสียง 247 คนขึ้นไป ดังนั้น ถ้า ส.ส. พรรคประชาชนเลือกใครเลยก็ไม่มีใครได้เป็นนายกรัฐมนตรี
2. ปัญหาคือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ไม่ได้เขียนไว้ว่า #ถ้าไม่มีใครได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งจะต้องทำอย่างไร? ซึ่งแตกต่างไปรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 (มาตรา 203) และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 (มาตรา 173) ซึ่งกำหนดไว้เหมือนกันว่า “ในกรณีที่พ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มาประชุมเป็นครั้งแรก” ไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่ง ก็ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง “บุคคลซึ่งได้รับคะแนนเสียงสูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรี”
ซึ่งอธิบายง่ายๆ คือในการเลือกนายกครั้งแรกหลังเลือกตั้งถ้าไม่มีใครได้คะแนนเสียงเกินครึ่ง แล้วเวลาผ่านไป 30 วันนับแต่ประชุมสภาครั้งแรกก็ยังไม่มีใครได้คะแนนเกินครึ่ง ประธานสภาก็จะทูลเกล้าชื่อคนที่ได้คะแนนมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 ไม่ได้เขียนไว้ว่าในการเลือกนายกครั้งต่อมา (เพราะนายกคนแรกมีเหตุต้องพ้นตำแหน่ง) จะต้องทำอย่างไร? ก็แปลว่าการเลือกนายกครั้งต่อมาก็ต้องใช้หลักเดียวกันคือ ถ้าไม่มีใครได้คะแนนเกินครึ่ง ประธานสภาก็จะทูลเกล้าคนที่ได้คะแนนมากที่สุดครับ
3. แต่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้ตัดมาตรานี้ทิ้งไป ผลก็คือ ถ้าไม่มีใครได้คะแนนเกินครึ่ง #ก็ต้องเลือกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีผู้ได้คะแนนเกินครึ่งครับ ความจริงแล้วเมื่อถึงจุดนี้ทางออกก็คือ #ยุบสภา เพราะเมื่อสภาผู้แทนเลือกใครเป็นนายกไม่ได้ ก็ควรต้องคืนอำนาจให้ประชาชนให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่าจะให้ใครเป็นนายกคนต่อไป
4. แต่เนื่องจากอำนาจในการทูลเกล้ายุบสภา เป็นอำนาจของรักษาการนายกรัฐมนตรี (ดังที่เขียนในโพสต์ที่แล้วครับ) แม้จะมีเหตุที่ควรยุบสภา แต่ถ้ารักษาการนายกไม่ทูลเกล้ายุบสภา ก็ไม่มีการยุบสภาครับ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่าที่พรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะยุบสภาถ้าพรรคประชาชนยกมือให้คุณอนุทินเป็นนายก เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยไม่ต้องการเป็นฝ่ายค้านแล้วพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล ถ้าเป็นอย่างนั้นยอมเสี่ยงให้เลือกตั้งใหม่เลยดีกว่า อย่างน้อยเป็นรัฐบาลรักษาการช่วงเลือกตั้งยังมีความได้เปรียบครับ
แต่ถ้าสถานการณ์คือพรรคประชาชนไม่เลือกใครเลย พรรคเพื่อไทยก็จะยังเป็นรัฐบาลรักษาการไปเรื่อยๆ ดังนั้น การที่พรรคประชาชนไม่เลือกใครจึงไม่ได้นำไปสู่การยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ (แม้จะมีเหตุที่ควรต้องยุบสภาแล้ว) ดังที่พรรคประชาชนอยากจะให้เกิดครับ
5. ถ้าต้องเลือกนายกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีคนที่ได้คะแนนเกินครึ่ง พรรคเพื่อไทยจะมีทางเลือกคือ #หนึ่ง กลับไปตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็ต้องยอมให้คุณอนุทินเป็นนายก ซึ่งคุณทักษิณจะยอมเลือกทางนี้หรือไม่ หรือ #สอง หาว่าที่นายกคนใหม่ที่จะชนะคุณอนุทิน หรือคุณอนุทินยอม ซึ่งทางที่สองนี้แหละครับที่ลือกันว่าจะเป็นพลเอกประยุทธ์ หรืออาจจะมีใครเสนอให้ทำอะไรที่ไกลไปกว่านั้นซึ่งอาจจะยุ่งไปกันใหญ่
#สรุปว่า ถ้าพรรคประชาชนไม่เลือกใครระหว่างคุณชัยเกษม กับคุณอนุทิน เรื่องก็ไม่จบ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เขียนทางออกไว้ ก็จะต้องมีการเลือกนายกคนใหม่กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผู้ที่ได้คะแนนเกินครึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การยุบสภาภายใน 4 เดือนก็คงจะไม่เกิด การลงประชามติในวันเลือกตั้งให้มี สสร. มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะไม่มี
ดังนั้น จากที่วิเคราะห์ไปทั้งหมดนี้ ผมจึงเชื่อว่าพรรคประชาชนจะไม่เลือกทางไม่เลือกใคร แต่คงจะต้องเลือกใครสักคนระหว่างคุณชัยเกษมและคุณอนุทิน ส่วนจะเลือกใครต้องติดตามรอฟัง พรุ่งนี้ก็คงจะทราบแล้วครับ