ร้องดีเอสไอพิจารณาคืนทรัพย์ถูกอายัดในคดีโกงเงินแบงก์ทหารไทย
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 2 กันยายน 2568 เวลา 20.26 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทดีเอสไอ 2 ก.ย. – ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) นายกฤษฎา อินทามระ หรือทนายปราบโกง ได้พา น.ส.ทิพาวรรณ อายุ 61 ปี ผู้ต้องหาที่ 7 ในคดีพิเศษที่ 97/2559 กรณีนายสมศักดิ์ กับพวกรวม 12 คน ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและร่วมกันใช้เอกสารปลอม ร่วมกันฟอกเงินและซ่องโจร โดยมีมูลค่าเงินที่เกี่ยวข้องในคดีกว่า 2,500 ล้านบาท ยื่นร้องเรียนถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลการพิจารณาสั่งฟ้องคดี เนื่องจากเวลาล่วงเลยมากว่า 9 ปี แต่คดีกลับมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และทุกวันนี้คดียังอยู่ในชั้นดีเอสไอดังเดิม เรื่องยังไม่ขึ้นสู่ชั้นศาลเพื่อตัดสินให้ความเป็นธรรม ส่วนรายการทรัพย์สินจำนวนมากที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ อาทิ อาคารพาณิชย์ 5 คูหา และบ้านพักห้องแถว รวมมูลค่าประเมินทรัพย์สินหลายสิบล้านบาท ก็ถูกคำสั่งยึดอายัดไว้โดยอำนาจของพนักงานสอบสวน คดีพิเศษ แต่กลับมีกลุ่มบุคคลนอกเข้าไปใช้ประโยชน์และเก็บค่าเช่า ทั้งที่เป็นทรัพย์ที่ถูกอายัดไว้แล้ว จึงมาขอความเป็นธรรม เพื่อให้คดีมีความโปร่งใส
ทนายกฤษฎา เผยว่า น.ส.ทิพาวรรณ เป็น 1 ใน 12 ผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 97/2559 กรณี ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและร่วมกันใช้เอกสารปลอม ร่วมกันฟอกเงินและซ่องโจร โดยมีมูลค่าเงินที่เกี่ยวข้องในคดีกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นคดีที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงเป็นอย่างมาก และในจำนวนผู้ต้องหาเหล่านี้มีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่ในส่วนของ น.ส.ทิพาวรรณ ตามพยานหลักฐานแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโกงเงินของธนาคารทหารไทย ซึ่งเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีดังกล่าว เนื่องด้วย น.ส.ทิพาวรรณ มีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเรื่องเส้นทางการเงินกับบุคคลในคดีเดียวกัน โดยเป็นการกู้ยืมเงินเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจส่วนตัวเท่านั้น แต่ น.ส.ทิพาวรรณ ไม่เคยทำเรื่องขอกู้ยืมเงินโดยตรงกับธนาคารทหารไทยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีเอกสารสัญญาเงินกู้ใดทั้งสิ้น แต่ถูกเอาชื่อเข้าไปอยู่ในสำนวนเป็นผู้ต้องหา เพียงเพราะพนักงานสอบสวนเล็งเห็นเส้นทางการเงินที่เธอไปเกี่ยวข้องกับบุคคลในคดี และปักใจเชื่อว่าเธออยู่ในขบวนการฟอกเงินด้วย เพราะมันเป็นเหมือนว่าเอาเงินจากธนาคารมาแล้วไม่ได้มีการประกอบธุรกิจจริง มีการเอาเงินไปหมุนเวียนระหว่างกัน ธนาคารจึงจับได้ว่าเป็นการหลอกเอาเงินจากธนาคารไป ตนหวังว่าคดีดังกล่าวนี้ เนิ่นนานมาตั้งแต่การรับเป็นคดีพิเศษในปี 2559 จวบจนถึงปัจจุบัน แม้มีการนัดหมายให้ไปรับทราบคำสั่งคดีกับพนักงานสอบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ต้องหารายนี้ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเข้าพบพนักงานสอบสวนตลอด แต่เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ ทางพนักงานอัยการก็ได้มีการส่งกลับสำนวนให้พนักงานสอบสวน โดยแจ้งว่า พนักงานอัยการได้มีคำสั่งคืนสำนวนการสอบสวนให้ดีเอสไอไปดำเนินการตาม ป.วิ อาญา มาตรา 20 เนื่องจากมองว่าผู้ต้องหาได้ร่วมกันกระทำความผิดกับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรถือว่าคดีเป็นการกระทำความผิดที่มีโทษตามกฏหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร
สำหรับ คดีนี้เป็นคดีพิเศษในปี 2559 และดีเอสไอส่งฟ้องไปที่พนักงานอัยการในวันที่ 20 ก.ค.62 ซึ่งพนักงานอัยการได้นัดหมายให้ผู้ต้องหาไปฟังคำสั่งคดีในวันที่ 20 ก.ย.62 จากนั้น อัยการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหากลับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะมองว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร
ด้าน น.ส.ทิพาวรรณ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนยืนยันว่าไม่เคยทำธุรกรรมกู้เงินกับทางธนาคารทหารไทย แต่ดีเอสไอมองว่ามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับนิติบุคคลที่เป็นผู้ต้องหาในคดี ที่มีการกู้เงินกับทางธนาคารโดยตรง และเมื่อตนเข้าพบพนักงานสอบสวน ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและให้การชี้แจงทุกอย่างแล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทางพนักงานสอบสวนก็บอกเพียงให้ตนไปแก้ในชั้นศาลแทน ตนเป็นเพียงคนที่ประกอบธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านรังสิต เงินที่ไปเกี่ยวข้องก็คือการหยิบยืมมาหมุนเวียนในธุรกิจ จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท ไม่ได้ไปร่วมโกงเงินธนาคารกับเขาด้วย ตนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ผ่านเวลานานแบบนี้ก็เกิดความเครียดพอสมควร เพราะไม่สามารถทำมาหากินได้แล้ว ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพาณิชย์ที่ตนมีก็ถูกอายัดไว้ ตนก็ไม่ใช่คนแข็งแรง เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 มีรายได้เพียงเงินจากประกันสังคม เดือนละประมาณ 3,000 กว่าบาทเท่านั้น จึงอยากขอความเป็นธรรมจากดีเอสไอด้วย นอกจากนี้ ตนยังพบว่า อาคารพาณิชย์ของตนที่ถูกพนักงานสอบสวนยึดและอายัดไว้นั้น ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ถนนพระราม 3 กลับถูกกลุ่มบุคคลภายนอกเข้าไปใช้ประโยชน์ในอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกอายัด ในลักษณะเป็นสมาคมกีฬาแข่งนกพิราบ และยังมีการปล่อยเช่าข้างล่าง ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทรัพย์สินนั้นเป็นชื่อของตนและกำลังถูกอายัดอยู่ เหตุใดจึงมีกลุ่มคนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ รวมแล้วราคาประเมินทรัพย์สินที่ตนถูกอายัด และโดนธนาคารฟ้องล้มละลายมีมูลค่าประมาณ 178 ล้านบาท .-119-สำนักข่าวไทย