พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (12)
ไชยันต์ ไชยพร
ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และฉบับที่ 3 คือฉบับ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 ที่ใช้อยู่ระหว่าง พ.ศ. 2475-2489 เป็นรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่ระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจโดยคณะราษฎร ได้แก่
1. การเปิดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีสิทธิ์รับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1
2. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง
3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี และมีวาระอยู่ยาวตราบที่ยังบังคับใช้บทเฉพาะกาลอยู่
4. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรกที่แต่งตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร
5. คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหาร แต่งตั้งตัวเองและพวกพ้องซึ่งส่วนเป็นสมาชิกคณะราษฎรให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2
6. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 รับรองตัวเองให้เป็นคณะรัฐมนตรี
จาก 1-5 บรรดาสมาชิกคณะราษฎรต่างแต่งตั้งตัวเองกลับไปกลับมาหมุนเวียนกันเป็นคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลาถึง 13 ปี จนมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นั่นคือ ฉบับที่ 3 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ แม้จะยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 และให้มีสมาชิกพฤฒสภาขึ้นแทน แต่ก็ยังกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามีสิทธิ์ในการรับรองคณะรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และแม้ว่าจะกำหนดให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 นี้ได้กำหนดไว้ว่า ในช่วงแรกให้สมาชิกพฤฒสภามาจากการเลือกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทีนี้ เรามาดูกันว่า สมาชิกพฤฒสภาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้นมาเป็นจำนวน 80 คนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นใครและพวกใครบ้าง และทำไมคนในสมัยนั้นถึงเรียกพฤฒสภาว่าเป็น “สภาปรีดี”
พฤฒสภาเต็มไปด้วยคนของปรีดีจริงหรือ ?
ในการตอบข้อสงสัยข้างต้น ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาทั้งหมด 80 ท่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการประเมินข้อน้ำหนักความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการตั้งฉายา “พฤฒสภา” ว่าเป็น “สภาปรีดี” โดยไล่ไปตามลำดับตัวอักษร โดยตอนที่แล้วได้กล่าวถึงภูมิหลังของสมาชิกพฤฒสภาไปทั้งสิ้นจำนวน 21 ท่านในทั้งหมด 80 ท่าน พบว่า มีสมาชิกที่จัดได้ว่าเป็นพวกปรีดี 8 ท่าน มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนปรีดี 2 ท่าน ไม่ใช่พวกปรีดี 5 ท่าน ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่ 6 ท่าน
ต่อไปคือ คุณปพาฬ บุญ-หลง
คุณปพาฬเป็นบุตรชายของพระสาลียากรพิพัฒน์ (เฉลิม บุญ-หลง) และนางสาลียากรพิพัฒน์ (ทองคำ บุญหลง) เกิดในเดือนตุลาคม 2448 ต่อมาได้เป็นลูกศิษย์ของนายปรีดีที่โรงเรียนกฎหมาย และทำงานใกล้ชิดกันมาตลอด เช่น เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วมีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก นายปพาฬก็ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการฯ เป็น 1 ใน 7 คนแรก ซึ่งเวลานั้นอาศัยวังปารุสกวันใช้เป็นสถานที่ทำงาน โดยไม่ได้รับเงินเดือน เพราะสำนักงานฯ ไม่มีงบประมาณ นอกจากทางการได้จัดเลี้ยงอาหารแก่เจ้าหน้าที่ทุกมื้อเท่านั้น [ที่มา : https://bit.ly/35naxg2]หลวงประดิษฐ์มนูธรรมไว้ใจนายปพาฬมาก ท่านผู้หญิงพูนศุข ภริยา เล่าว่า เบี้ยประชุมที่ได้จากเป็นกรรมาธิการสภาผู้แทนฯ นั้นนายปรีดีมอบให้นายปพาฬ บุญ-หลง ที่ทำงานอยู่ที่สภาฯ เป็นผู้รักษาไว้เพื่อใช้ในกรณีจำเป็น [ ดูเรื่อง 'รำลึกถึงความหลัง' https://bit.ly/2KR8444]
นอกจากนี้ ในด้านส่วนตัว สุดา พนมยงค์ บุตรสาวของนายปรีดีเล่าว่า เมื่อตนเป็นเด็ก "ส่วนมากคุณพ่อไม่ค่อยว่าง ทุกวันอาทิตย์จะให้คุณปพาฬ บุญ-หลง ลูกศิษย์โรงเรียนกฎหมาย ซึ่งเรียกคุณพ่อว่า 'คุณครู' เป็นคนพาลูกๆ หลานๆ รวมถึงลูกของเพื่อนร่วมงานไปเที่ยว ไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุง พาไปกินไอศกรีม ที่ไปด้วยกันบ่อยๆ มี ม.ร.ว.วิวรรณ วรวรรณ (ธิดา ม.จ.วรรณไวทยากร) คุณประพาพิมพ์ สุวรรณศร (ลูกคุณน้าอัมพา)" [ที่มา : https://www.the101.world/suda-interview-on-2475/]
นายปพาฬเคารพนับถือคุณครูของเขามาก ดังเมื่อนายเสียง พนมยงค์ ตาย เขาได้ติดต่อไปยังกรมศิลปากร "มาแจ้งความว่าอยากจะได้หนังสือสักเรื่องหนึ่งเพื่อรับเอาไปพิมพ์ช่วยสมทบเข้าในจำนวนหนังสือสำหรับแจกในงานศพ…บิดาหลวงประดิษฐ์มนูธรรม…ผู้เป็นอาจารย์ และต้องการให้เป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์หรือทางพระศาสนา" [ อ่านเล่มนี้ได้ที่ https://bit.ly/2y7h0zG]
ประวัติของคุณปพาฬข้างต้นมาจาก “โพสต์ของ 125 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์” สถาบันปรีดี พนมยงค์
จากข้อมูลข้างต้น จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า การที่คุณปพาฬได้รับเลือกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นสมาชิกพฤฒสภานั้น มีส่วนทำให้พฤฒสภาถูกคนสมัยนั้นเรียกว่า “สภาปรีดี” นอกเหนือไปจากสมาชิกพฤฒสภาที่เคยเป็นสมาชิกคณะราษฎรในสายคุณปรีดี หรือเคยได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2
ต่อไปจะได้กล่าวถึงหลวงประสิทธิ์นรกรรม
หลวงประสิทธิ์นรกรรม นามเดิม เจี่ยน หงสประภาส เกิด พ.ศ. 2427 เป็นคนบ้านผักไห่ อยุธยา นามสกุล หงสประภาส นี้ได้รับพระราชทานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2459 น่าจะเป็นพะราชดำริที่ทรงเห็นว่ามีบิดาชื่อ ฮง จึงพระราชทานให้เป็นมงคลว่า “หงส” และมารดาชื่อ เทียน มีความหมายทางแสงสว่าง จึงพระราชทานให้เป็นมงคลนามว่า “ประภาส” จึงเป็นนามสกุล “หงสประภาส”
คุณเจี๋ยนเริ่มเรียนหนังสือที่สำนักวัดรวก ตำบลท่าเรือ อำเภอนครน้อย อยุธยา จากนั้นได้มาเรียนกับคุณหลวงปราณีประชาชน (เปี่ยม ชะชาตย์) และเข้าเป็นเสมียนฝึกหัดอยู่ที่ว่าการอำเภอนครน้อย ต่อมาเมื่ออายุได้ 17 ปี ได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนชั้น 4 ที่ว่าการอำเภอเสนาใหญ่ ในปี พ.ศ. 2452 ได้รับพระราชทานประทวน ตราเสนาบดี กระทรวงมหาดไทยเป็นขุนประสิทธิ์นรกรรม ตำแหน่งปลัดอำเภอเมืองกรุงเก่า ถือศักดินา 600 ไร่ ในปี พ.ศ. 2466 ได้เป็นหลวงประสิทธิ์นรกรรม และในปี พ.ศ. 2475 ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ จังหวัดฉะเชิงเทรา
หลวงประสิทธิ์ฯ มีความโดดเด่นสามารถในการเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองอย่างยิ่ง อย่างเช่นในปี พ.ศ. 2462 มีผู้ร้ายปล้นทรัพย์และยิงตำรวจตายที่จังหวัดสิงห์บุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรีได้ให้ขุนประสิทธิ์ฯ (บรรดาศักดิ์ขณะนั้น) ไปตามจับตัวผู้ร้าย ขุนประสิทธิ์ฯได้ทำการสืบสวนติดตามจนถึงรังผู้ร้าย และได้มีการยิงต่อสู้กัน จนผู้ร้ายตายหนึ่งคน ที่เหลือจับตัวได้ จากงานความเก่งกล้าสามารถนี้ ทำให้ขุนประสิทธิ์ฯได้เลื่อนเป็นหลวงประสิทธิ์ หลังจากนั้น ยังมีงานชิ้นโบว์แดงอีก 7 ผลงาน
แต่หลวงประสิทธิ์ฯรับราชการจนถึงแค่ปี พ.ศ. 2476 จึงลาออกจากราชการมาลงสมัครรับเลือกตั้ง อายุขณะนั้น 49 ปี และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 จังหวัดพระนครศรีอยุธยายาวไปจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 การลงสมัครรับเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก น่าจะถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นสนใจการเมือง และคาดว่าน่าจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นเรื่องดี
หากจะถามว่า หลวงประสิทธิ์ฯเป็นนักการเมืองฝ่ายไหน คำตอบอยู่ที่หนังสือไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน มีผู้เขียนถึงคุณหลวงประสิทธิ์ฯดังนี้
“คุณหลวงประสิทธิ์นรกรรม กับ ผมต่างชอบพอ รักใคร่นับถืออย่างสนิทสนมกันมาก เมื่อคราวผมไปสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดอยุธยา ผมก็ได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากคุณหลวงประสิทธิ์ฯ เป็นอันมาก คุณหลวงประสิทธิ์ฯ และผมต่างอยู่ในสังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน แม้กระทั่งเมื่อมีการเลือกตั้งครั้งหลังสุดเมื่อไม่นานมานี้ คุณหลวงก็ได้แสดงความประสงค์จะให้ผมสมัครรับเลือกตั้งที่จังหวัดอยุธยา…”
ผู้เขียนลงท้ายด้วยคำว่า “รักนับถือเยี่ยงญาติ” ลงชื่อ “พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์”
ถ้าสนิทกับพลเรือตรี ถวัลย์ ก็ถือได้ว่าเป็นพวกเดียวกับปรีดี พนมยงค์
ดังนั้น คุณหลวงประสิทธิ์นรกรรม จึงเป็นหนึ่งในสมาชิกพฤฒสภาที่ทำให้พฤฒสภาถูกเรียกว่าเป็น “สภาปรีดี” แม้ว่าจะไม่มีชื่อคุณหลวงในทะเบียนสมาชิกคณะราษฎรตั้งแต่แรกเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ตาม
สรุปผลล่าสุด คือ
สมาชิกพฤฒสภา
ปรีดี
ไม่ใช่พวกปรีดี
แนวโน้มสนับสนุนปรีดี
ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใด
ม.ล. กรี เดชาติวงศ์
+
ร.อ. กำลาภ กาญจนสกุล ร.น.
+
พ.ท. ก้าน จำนงภูมิเวท
+
แก้ว สิงหะคเชนทร์
+
หลวงกาจสงคราม
+
พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน สรยุทธเสนี
+
พลโท หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต
+
เขียน กาญจพันธุ์
+
พลโท จิระ วิชิตสงคราม
+
จรูญ สืบแสง
+
จิตตะเสน ปัญจะ
+
พันโท เจือ สฤษฎิ์ราชโยธิน
+
จำรัส สุวรรณชีพ
+
จินดา จินตนเสรี
+
จำลอง ดาวเรือง
+
หลวงเสรีเริงฤทธิ์ (จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์)
+
ไต๋ ปาณิกบุตร
+
ถวิล อุดล
+
ทัน พรหมิทธิกุล
+
พระยานลราชสุวัจน์ (ทองดี นลราชสุวัจน์)
+
พระนิติการณ์ประสม (สงวน ชัยเฉนียน)
+
ปพาฬ บุญ-หลง
+
หลวงประสิทธิ์นรกรรม (เจี่ยน หงสประภาส)
+
จากที่ศึกษาภูมิหลังสมาชิกพฤฒสภาไปทั้งสิ้น 23 ท่านในทั้งหมด 80 ท่าน พบว่า มีสมาชิกที่จัดได้ว่าเป็นพวกปรีดี 10 ท่าน มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนปรีดี 2 ท่าน ไม่ใช่พวกปรีดี 5 ท่าน ไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นฝ่ายใดแน่ 6 ท่าน