อ่านเกมสหรัฐฯ ฟื้นความสัมพันธ์กัมพูชา เดินหมากสกัดกั้นอิทธิพลจีน
การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ถูกจับจ้องอีกครั้ง โดยรอบนี้ประเทศในอาเซียนอย่างกัมพูชา ที่กำลังเผชิญสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนกับไทย กำลังกลายเป็นสนามทดสอบในเกมอำนาจของทั้งสองประเทศ หลังปรากฏหลายสัญญาณบ่งชี้ โดยเฉพาะบทบาทความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา ที่เด่นชัดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ความเคลื่อนไหวสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ คือการที่พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เตรียมที่จะไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นในเดือนนี้ ตรงกับช่วงที่เรือรบสหรัฐฯ เดินทางเข้าเทียบท่ายังฐานทัพเรือเรียม ในจังหวัดพระสีหนุเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เสร็จสิ้นการปรับปรุงและเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเฮกเซธ อาจร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเทียบท่าครั้งประวัติศาสตร์ของเรือรบสหรัฐฯ ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาที่ถดถอยไปนานกว่า 8 ปี มีโอกาสฟื้นคืน ท่ามกลางความท้าทายจากอิทธิพลของจีน ขณะเดียวกัน ยังเป็นบททดสอบสำคัญให้รัฐบาลพนมเปญที่ยังคงพึ่งพาจีนในหลายด้าน ต้องชั่งใจว่า จะเลือกรักษาสมดุลระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างไร
สหรัฐฯ รุกสัมพันธ์กัมพูชา สัญญาณส่งถึงจีน
การเยือนกัมพูชาของเฮกเซธ และการเข้าเทียบท่าของเรือรบสหรัฐฯ ที่ฐานทัพเรือเรียม นั้นถูกจับตามองว่าเป็นสัญญาณสำคัญของสหรัฐฯ ที่ส่งไปยังจีน และสะท้อนความพยายามในการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
แผนการเยือนของเฮกเซธ ได้รับการยืนยันจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้จอห์น โนห์ รักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการความมั่นคงอินโด-แปซิฟิก และพล.ท. รัธ ดาราโรธ (Rath Dararoth) ปลัดกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้หารือกันระหว่างการประชุมด้านความมั่นคง Shangri-La Dialogue ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม
โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงอย่างเป็นทางการว่า ทั้งสองได้หารือกันเกี่ยวกับ “ประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคและความสัมพันธ์ทวิภาคีทางทหาร พร้อมทั้งตั้งตารอการเยือนของเรือรบสหรัฐฯ และการฝึกซ้อมทางทะเลที่ฐานทัพเรือเรียมรวมถึงการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่จะเยือนเรือรบสหรัฐฯ ในขณะจอดเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียม”
หลังจากนั้น แอนดรูว์ ไบเออร์ส รองผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ก็ได้เดินทางเยือนกัมพูชาระหว่างวันที่ 24-25 มิถุนายน โดยพบปะผู้บัญชาการกองทัพและกระทรวงกลาโหมกัมพูชา และได้มีการหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ รวมถึงวางแผนสำหรับการเยือนอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม
รศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้ความเห็นต่อท่าทีของสหรัฐฯ ในการหันมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชาโดยมองว่า เป็นการดำเนินการที่ชัดเจนขึ้นของนโยบายปักหมุดเอเชีย (Asia Pivot Policy) และนโยบายอินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุครัฐบาลบารัก โอบามา ซึ่งแม้จะเป็นรัฐบาลต่างพรรคการเมืองกัน แต่ก็มีจุดร่วมคือการถ่วงดุลและลดน้ำหนักอิทธิพลของจีนในเอเชีย
โดยในยุคของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ทิศทางนโยบายถูกปรับให้เข้มข้นขึ้น และมีการดึงเอาอินเดียเข้ามาถ่วงดุลอย่างชัดเจน ซึ่งเขามองว่า เป้าหมายหลักของสหรัฐฯ คือต้องการขยายกิจกรรมทางการทหาร การเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจในทุกด้าน เพื่อที่จะปิดล้อมหรือถ่วงดุลจีน ทั้งที่ทะเลจีนใต้ รอบเกาะไต้หวัน อาเซียน และในมหาสมุทรอินเดีย และจะขยายพื้นที่ในการถ่วงดุลในประเทศต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน รวมถึงกัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา
ดังนั้น ท่าทีล่าสุด ทั้งการเดินทางเยือนกัมพูชาของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (United States Indo-Pacific Command : USINDOPACOM) ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามนโยบายและความตั้งใจของสหรัฐฯ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.ปณิธาน มองว่าการที่กัมพูชาหันเข้าหาและฟื้นสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อาจจะทำให้จีนไม่พอใจบ้าง และจีนก็อาจจะมีมาตรการโต้ตอบในหลายรูปแบบแต่ไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการมากนัก เนื่องจากการเปิดให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เยี่ยมเยือนฐานทัพเรือเรียมก็เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของกัมพูชา
กัมพูชาพยายามฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ
การเชิญเฮกเซธ เยือนกัมพูชา ยังอาจมองได้ว่าเป็นอีกความพยายามของรัฐบาลพนมเปญภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังจากที่เสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาจากประเด็นต่างๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกัมพูชากับจีน และการปราบปรามศัตรูทางการเมืองของรัฐบาลกัมพูชาในยุคฮุนเซน
กรณีหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาถดถอย คือการจำกัดเสรีภาพสื่อและปราบปรามสื่ออิสระ รวมถึงสื่อนอกประเทศของกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งมีหลายสื่อที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ถูกสั่งปิดหรือบีบให้ออกนอกประเทศ เช่น Voice of America และ Radio Free Asia
แต่การเข้ามาของรัฐบาลทรัมป์ 2 ซึ่งระงับการสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยและบังคับให้ปิดสื่อที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ดังกล่าว กลายเป็นการขจัดอุปสรรคสำคัญในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชา และทำให้มีสัญญาณในการฟื้นความสัมพันธ์เกิดขึ้น
ความเคลื่อนไหวสำคัญอย่างหนึ่ง คือในเดือนธันวาคม 2024 เรือยูเอสเอส ซาวานนาห์ (USS Savannah) ยังได้เข้าเทียบท่าที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งถือเป็นการเยือนครั้งแรกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในรอบ 8 ปี
และในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กัมพูชายังเสนอให้ฟื้นการฝึกซ้อมรบร่วมอังกอร์เซนติเนล (Angkor Sentinel) ขึ้นอีกครั้ง โดยเป็นการฝึกซ้อมรบทวิภาคีระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพสหรัฐฯ ที่กัมพูชาได้ยกเลิกไปฝ่ายเดียวในปี 2017 โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจการเลือกตั้งในประเทศ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพกัมพูชาเริ่มต้นการฝึกซ้อมรบ Golden Dragon กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน
ข้อกังวลจีนต่อฐานทัพเรือเรียม
สำหรับฐานทัพเรือเรียมนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อกัมพูชาในเชิงยุทธศาสตร์ จากการอยู่ติดอ่าวไทย และมีที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองสีหนุวิลล์ แหล่งท่องเที่ยวตากอากาศสำคัญของกัมพูชาราว 30 กิโลเมตร
โดยจีนให้การสนับสนุนงบประมาณแก่กัมพูชาในการปรับปรุงและขยายฐานทัพเรือแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2022 ภายหลังจากที่กัมพูชารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิมในฐานทัพเรือเรียมที่สหรัฐฯ เคยสนับสนุนในปี 2020 และปฏิเสธข้อเสนอจากสหรัฐฯ ในการช่วยซ่อมแซม
การปรับปรุงดังกล่าว ส่งผลให้ฐานทัพเรือเรียม มีทั้งท่าเรือน้ำลึกยาว 300 เมตร อู่แห้ง (Dry Dock) ขนาด 5,000 ตัน ทางลาดลงน้ำขนาด 1,000 ตัน อาคารสำนักงาน นอกจากนี้ยังมีศูนย์ฝึกอบรมและโลจิสติกส์ร่วมระหว่างกัมพูชาและจีน
บทบาทและการมีส่วนร่วมของจีนต่อฐานทัพเรียม ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เกรงว่าฐานทัพเรือแห่งนี้อาจพัฒนาเป็นฐานทัพของจีนในภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบ
ความกังวลดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2019 เมื่อหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า ฮุน เซน ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในข้อตกลงลับที่ให้สิทธิกองทัพจีนในการใช้ฐานทัพแห่งนี้เป็นระยะเวลา 30 ปี ก่อให้เกิดความกังวลว่า จีนอาจใช้ฐานทัพเรือแห่งนี้เป็นฐานทัพเรือแห่งใหม่ในทะเลจีนใต้และเป็นฐานทัพเรือในต่างแดนแห่งที่ 2 ของจีน รองจากฐานทัพในจิบูตี
ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธเรื่องนี้และยืนยันว่า “จะไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งฐานทัพต่างชาติในดินแดนของตน” โดยฮุน มาเนต ย้ำเรื่องนี้ในการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในพิธีฉลองการขยายฐานทัพเรือเรียมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน
รายงานของ Cambodianess ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ระบุว่า เตีย เซฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้กล่าวว่า ฐานทัพเรียมบางส่วนจะยังคงห้ามไม่ให้กองทัพต่างชาติเข้า
“อาคารบางส่วนเป็นศูนย์บัญชาการของกัมพูชา ดังนั้นเราจึงมีพื้นที่หวงห้ามและพื้นที่เปิดโล่งของเราเอง และกัมพูชาไม่ใช่ประเทศเดียวที่ทำเช่นนี้” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากองทัพกัมพูชาจะพยายามแสดงความโปร่งใส แต่ประเด็นเรื่องอิทธิพลของจีนต่อฐานทัพเรียมก็ไม่น่าจะหมดไป
โดยหลังจากเรือรบญี่ปุ่นเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียมเมื่อกลางเดือนเมษายน เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชากล่าวว่า กัมพูชา “ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้โลกเห็นได้ว่า ฐานทัพเรียมจะไม่อนุญาตให้กองทัพจีนเข้ามาประจำการ” และคาดว่าความกังขาของสหรัฐฯ ต่อท่าทีกัมพูชาและบทบาทของจีนในฐานทัพเรือแห่งนี้ จะยังคงอยู่
“ทุกคนต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ปักกิ่งกำลังเตรียมการอย่างน่าเชื่อถือที่จะใช้กำลังทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในอินโด-แปซิฟิก ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้สถานการณ์ดูดีกว่าความเป็นจริง ภัยคุกคามที่จีนก่อขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง และอาจจะใกล้เข้ามาแล้ว” เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชากล่าว
ทั้งนี้ ในอีกแง่หนึ่ง อาจมองได้ว่าการที่กัมพูชาเชิญเฮกเซธ และเรือรบสหรัฐฯ ให้มาเยือนฐานทัพเรือเรียมนั้น เป็นความพยายามเพื่อบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจีนในฐานทัพเรียม
โดยรัฐบาลกัมพูชาได้ให้คำมั่นว่า ฐานทัพเรือเรียมจะเปิดรับเรือรบจากทุกประเทศพันธมิตร และได้ต้อนรับเรือรบญี่ปุ่นสองลำในการเยือนเป็นเวลา 4 วัน เมื่อวันที่ 19 เมษายน ตามมาด้วยเรือรบจากเวียดนามและรัสเซีย
แต่ถึงกระนั้น บทบาทของจีนเหนือฐานทัพเรือเรียม ยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งในพิธีฉลองเปิดฐานทัพเรือ ซึ่งมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรมและสนับสนุนร่วมฐานทัพเรือเรียม จีน-กัมพูชา โดยมีเฉา ชิงเฟิง รองเสนาธิการทหารบกแห่งคณะกรรมาธิการทหารกลางจีน และหวัง เหวินปิน เอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชา เข้าร่วม
โดย 1 วันหลังจากพิธีเปิดฐานทัพเรือเรียม เรือรบจากทั้งสองประเทศยังได้ร่วมการฝึกซ้อมรบ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางทหารของจีน ให้สัมภาษณ์ Global Times เชื่อมั่นว่า “การฝึกซ้อมรบระหว่างจีนและกัมพูชาในอนาคตน่าจะมีความถี่มากขึ้น และน่าจะครอบคลุมทั้งทางเรือและทางอากาศ ซึ่งจะช่วย ปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้”
ก่อนหน้านี้ พบว่าจีนยังได้จอดเรือคอร์เวตต์ หรือเรือรบขนาดเล็ก 2 ลำเทียบท่าไว้ที่ฐานทัพเรือเรียมตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 นอกจากนี้ ยังมีภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่ออกมา แสดงให้เห็นว่า เรือรบจีนได้เข้าจอดเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียมอย่างต่อเนื่อง
โดยทางการกัมพูชาพยายามชี้แจงว่า เรือรบจีนที่เห็นนั้น ไม่ได้ประจำการถาวร แต่ถูกนำมาใช้ในการฝึกซ้อมรบร่วม Golden Dragon ซึ่งรัฐบาลจีน ยังได้ประกาศแผนที่จะมอบเรือคอร์เวตต์ Type-056A จำนวน 2 ลำให้กับกัมพูชาด้วย
รศ. ดร.ปณิธาน ให้ความเห็นต่อข้อกังวลในการใช้ฐานทัพเรือเรียมเป็นฐานทัพถาวรของจีน โดยชี้ว่า ในยุคสงครามสมัยใหม่นั้น จริงๆ แล้วน้ำหนักของฐานทัพเรือเรียมอาจจะไม่ได้มากเท่าไหร่นัก เพราะยุทธศาสตร์ปฏิบัติการรบต่างๆ ในขณะนี้ใช้ระบบควบคุมระยะไกล เช่น โดรน เครื่องบินสมัยใหม่ หุ่นยนต์ หรือ AI
ขณะที่สหรัฐฯ มีฐานทัพที่ไกลออกไปและยังมีกองเรือที่ลอยลำอยู่ในทะเลจีนใต้ และมีกองเรือที่ปฏิบัติการไปมา ทั้งที่สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่อ่าวไทย แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็อาจจะต้องการใช้ฐานทัพที่เมืองดานัง ของเวียดนามมากกว่า ซึ่งสหรัฐฯ กำลังเจรจากับทางเวียดนามอยู่ ถ้าจะเป็นที่พักกองเรือหรือที่ซ่อมเรือชั่วคราว
บาลานซ์สัมพันธ์ สหรัฐฯ-จีน
รศ. ดร.ปณิธาน มองว่าท่าทีของกัมพูชาในการฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในขณะที่ยังคงรักษาสัมพันธ์กับจีนนั้น สอดคล้องกับแนวทางที่เรียกว่า สมดุลเชิงกลยุทธ์” (Strategic Equilibrium) หรือสมดุลใหม่
แต่การปรับสมดุลนี้ไม่ได้หมายความว่าน้ำหนักของจีนกับสหรัฐฯ จะเท่ากัน เพราะสินค้า เงินช่วยเหลือ ธนาคารเพื่อการพัฒนาโครงสร้าง อาวุธราคาถูก และตลาดของจีนก็ยังคงมีน้ำหนักมากกว่าสหรัฐฯ อยู่ดี
แต่การที่มีน้ำหนักมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียหลายอย่าง เช่นกรณีของเมียนมา หรือเวียดนาม ที่สุ่มเสี่ยงต่อเรื่องความมั่นคงและความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ทำให้หลายประเทศ ต้องมีการปรับน้ำหนักความสัมพันธ์กับ 2 มหาอำนาจให้สมดุลมากขึ้น แต่คงไม่ถึงกับสมดุล 50% ต่อ 50%
“อย่างน้อยๆ ก็ถ่วงดุลในหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ เช่น เรื่องการทหาร การแลกเปลี่ยน การฝึก การข่าว เรื่องเหล่านี้จะทำให้หลายประเทศอยู่ในจุดยืนทางยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบกว่าไทย ขณะที่สหรัฐฯ และจีนสามารถเอาน้ำหนักที่สมดุลขึ้นนั้นมาถ่วงดุลหรือมากดดันไทยได้ เช่นในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง หากกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ กับจีน ก็หมายความว่าแรงกดดันของจีน-สหรัฐฯ จะมาที่ไทยมากกว่ากัมพูชา” รศ. ดร.ปณิธาน กล่าว
ทั้งนี้ กรณีที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จะเดินทางไปเยือนกัมพูชาโดยตรงและไม่แวะไทย รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่าอาจเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่าการรักษาสมดุลกับ 2 มหาอำนาจของไทยนั้น ‘ไม่น่าจะดีเท่าไหร่นัก’ และยังต้องปรับหรือดำเนินการเชิงรุกให้มากขึ้น
ด้านคิน เฟีย ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่ง Royal Academy of Cambodia ให้สัมภาษณ์ Kiripost สื่อท้องถิ่นกัมพูชา ว่า การเยือนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถือเป็น ‘สัญญาณที่ดี’ ในการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างทั้งสองประเทศ
เขากล่าวว่า “พลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังกระตุ้นให้ทั้งจีนและสหรัฐฯ แสวงหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคงแห่งชาติ”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากัมพูชามักถูกมองว่าพึ่งพาจีนอย่างมากทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร แต่เฟีย มองว่าการเยือนของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการสร้างสมดุลความสัมพันธ์และจุดยืนของกัมพูชาในภูมิภาค
“กัมพูชาไม่ได้พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง เราเปิดกว้างที่จะต้อนรับความร่วมมือใดๆ ที่เคารพอธิปไตยของประเทศและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน” เขากล่าวย้ำ
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า การพัฒนาความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา ยังอาจก่อให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับจุดยืนและนโยบายความร่วมมือของกัมพูชาต่อจีนด้วย
“สหรัฐฯ ยังคงสงสัยเกี่ยวกับฐานทัพเรือเรียม รวมถึงบทบาทของจีนในฐานทัพเรือ” เขากล่าว และชี้ว่า “การจัดการต่อมุมมองดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยทักษะทางการทูตและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับทั้งสองมหาอำนาจ”
อ้างอิง:
- https://thediplomat.com/2025/06/us-defense-secretary-to-visit-china-linked-cambodian-naval-base/
- https://www.kiripost.com/stories/us-and-cambodia-renew-military-ties-with-ream-naval-base-docking-plan-amid-regional-balancing
- https://amti.csis.org/a-tale-of-two-reams-questions-remain-at-cambodias-growing-naval-base/
- https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-holds-military-drills-at-newly-expanded-cambodian-naval-base