โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

อ่านเกมสหรัฐฯ ฟื้นความสัมพันธ์กัมพูชา เดินหมากสกัดกั้นอิทธิพลจีน

THE STANDARD

อัพเดต 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
อ่านเกมสหรัฐฯ ฟื้นความสัมพันธ์กัมพูชา เดินหมากสกัดกั้นอิทธิพลจีน

การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ถูกจับจ้องอีกครั้ง โดยรอบนี้ประเทศในอาเซียนอย่างกัมพูชา ที่กำลังเผชิญสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนกับไทย กำลังกลายเป็นสนามทดสอบในเกมอำนาจของทั้งสองประเทศ หลังปรากฏหลายสัญญาณบ่งชี้ โดยเฉพาะบทบาทความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา ที่เด่นชัดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวสำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ คือการที่พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เตรียมที่จะไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นในเดือนนี้ ตรงกับช่วงที่เรือรบสหรัฐฯ เดินทางเข้าเทียบท่ายังฐานทัพเรือเรียม ในจังหวัดพระสีหนุเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เสร็จสิ้นการปรับปรุงและเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเฮกเซธ อาจร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเทียบท่าครั้งประวัติศาสตร์ของเรือรบสหรัฐฯ ด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาที่ถดถอยไปนานกว่า 8 ปี มีโอกาสฟื้นคืน ท่ามกลางความท้าทายจากอิทธิพลของจีน ขณะเดียวกัน ยังเป็นบททดสอบสำคัญให้รัฐบาลพนมเปญที่ยังคงพึ่งพาจีนในหลายด้าน ต้องชั่งใจว่า จะเลือกรักษาสมดุลระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างไร

สหรัฐฯ รุกสัมพันธ์กัมพูชา สัญญาณส่งถึงจีน

การเยือนกัมพูชาของเฮกเซธ และการเข้าเทียบท่าของเรือรบสหรัฐฯ ที่ฐานทัพเรือเรียม นั้นถูกจับตามองว่าเป็นสัญญาณสำคัญของสหรัฐฯ ที่ส่งไปยังจีน และสะท้อนความพยายามในการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

แผนการเยือนของเฮกเซธ ได้รับการยืนยันจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้จอห์น โนห์ รักษาการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการความมั่นคงอินโด-แปซิฟิก และพล.ท. รัธ ดาราโรธ (Rath Dararoth) ปลัดกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้หารือกันระหว่างการประชุมด้านความมั่นคง Shangri-La Dialogue ที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม

โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แถลงอย่างเป็นทางการว่า ทั้งสองได้หารือกันเกี่ยวกับ “ประเด็นความมั่นคงในภูมิภาคและความสัมพันธ์ทวิภาคีทางทหาร พร้อมทั้งตั้งตารอการเยือนของเรือรบสหรัฐฯ และการฝึกซ้อมทางทะเลที่ฐานทัพเรือเรียมรวมถึงการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่จะเยือนเรือรบสหรัฐฯ ในขณะจอดเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียม”

หลังจากนั้น แอนดรูว์ ไบเออร์ส รองผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ก็ได้เดินทางเยือนกัมพูชาระหว่างวันที่ 24-25 มิถุนายน โดยพบปะผู้บัญชาการกองทัพและกระทรวงกลาโหมกัมพูชา และได้มีการหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ รวมถึงวางแผนสำหรับการเยือนอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม

รศ. ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้ความเห็นต่อท่าทีของสหรัฐฯ ในการหันมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกัมพูชาโดยมองว่า เป็นการดำเนินการที่ชัดเจนขึ้นของนโยบายปักหมุดเอเชีย (Asia Pivot Policy) และนโยบายอินโด-แปซิฟิก ของสหรัฐฯ ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ยุครัฐบาลบารัก โอบามา ซึ่งแม้จะเป็นรัฐบาลต่างพรรคการเมืองกัน แต่ก็มีจุดร่วมคือการถ่วงดุลและลดน้ำหนักอิทธิพลของจีนในเอเชีย

โดยในยุคของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ทิศทางนโยบายถูกปรับให้เข้มข้นขึ้น และมีการดึงเอาอินเดียเข้ามาถ่วงดุลอย่างชัดเจน ซึ่งเขามองว่า เป้าหมายหลักของสหรัฐฯ คือต้องการขยายกิจกรรมทางการทหาร การเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจในทุกด้าน เพื่อที่จะปิดล้อมหรือถ่วงดุลจีน ทั้งที่ทะเลจีนใต้ รอบเกาะไต้หวัน อาเซียน และในมหาสมุทรอินเดีย และจะขยายพื้นที่ในการถ่วงดุลในประเทศต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน รวมถึงกัมพูชา เวียดนาม และเมียนมา

ดังนั้น ท่าทีล่าสุด ทั้งการเดินทางเยือนกัมพูชาของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และผู้บัญชาการกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (United States Indo-Pacific Command : USINDOPACOM) ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามนโยบายและความตั้งใจของสหรัฐฯ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม รศ. ดร.ปณิธาน มองว่าการที่กัมพูชาหันเข้าหาและฟื้นสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อาจจะทำให้จีนไม่พอใจบ้าง และจีนก็อาจจะมีมาตรการโต้ตอบในหลายรูปแบบแต่ไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการมากนัก เนื่องจากการเปิดให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เยี่ยมเยือนฐานทัพเรือเรียมก็เป็นสิทธิ์ในการตัดสินใจของกัมพูชา

กัมพูชาพยายามฟื้นสัมพันธ์สหรัฐฯ

การเชิญเฮกเซธ เยือนกัมพูชา ยังอาจมองได้ว่าเป็นอีกความพยายามของรัฐบาลพนมเปญภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังจากที่เสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาจากประเด็นต่างๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกัมพูชากับจีน และการปราบปรามศัตรูทางการเมืองของรัฐบาลกัมพูชาในยุคฮุนเซน

กรณีหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชาถดถอย คือการจำกัดเสรีภาพสื่อและปราบปรามสื่ออิสระ รวมถึงสื่อนอกประเทศของกัมพูชา ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งมีหลายสื่อที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ถูกสั่งปิดหรือบีบให้ออกนอกประเทศ เช่น Voice of America และ Radio Free Asia

แต่การเข้ามาของรัฐบาลทรัมป์ 2 ซึ่งระงับการสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตยและบังคับให้ปิดสื่อที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ ดังกล่าว กลายเป็นการขจัดอุปสรรคสำคัญในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชา และทำให้มีสัญญาณในการฟื้นความสัมพันธ์เกิดขึ้น

ความเคลื่อนไหวสำคัญอย่างหนึ่ง คือในเดือนธันวาคม 2024 เรือยูเอสเอส ซาวานนาห์ (USS Savannah) ยังได้เข้าเทียบท่าที่ท่าเรือสีหนุวิลล์ ซึ่งถือเป็นการเยือนครั้งแรกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในรอบ 8 ปี

และในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กัมพูชายังเสนอให้ฟื้นการฝึกซ้อมรบร่วมอังกอร์เซนติเนล (Angkor Sentinel) ขึ้นอีกครั้ง โดยเป็นการฝึกซ้อมรบทวิภาคีระหว่างกองทัพกัมพูชากับกองทัพสหรัฐฯ ที่กัมพูชาได้ยกเลิกไปฝ่ายเดียวในปี 2017 โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจการเลือกตั้งในประเทศ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กองทัพกัมพูชาเริ่มต้นการฝึกซ้อมรบ Golden Dragon กับกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน

ข้อกังวลจีนต่อฐานทัพเรือเรียม

สำหรับฐานทัพเรือเรียมนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อกัมพูชาในเชิงยุทธศาสตร์ จากการอยู่ติดอ่าวไทย และมีที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองสีหนุวิลล์ แหล่งท่องเที่ยวตากอากาศสำคัญของกัมพูชาราว 30 กิโลเมตร

โดยจีนให้การสนับสนุนงบประมาณแก่กัมพูชาในการปรับปรุงและขยายฐานทัพเรือแห่งนี้ตั้งแต่ช่วงปี 2022 ภายหลังจากที่กัมพูชารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเดิมในฐานทัพเรือเรียมที่สหรัฐฯ เคยสนับสนุนในปี 2020 และปฏิเสธข้อเสนอจากสหรัฐฯ ในการช่วยซ่อมแซม

การปรับปรุงดังกล่าว ส่งผลให้ฐานทัพเรือเรียม มีทั้งท่าเรือน้ำลึกยาว 300 เมตร อู่แห้ง (Dry Dock) ขนาด 5,000 ตัน ทางลาดลงน้ำขนาด 1,000 ตัน อาคารสำนักงาน นอกจากนี้ยังมีศูนย์ฝึกอบรมและโลจิสติกส์ร่วมระหว่างกัมพูชาและจีน

บทบาทและการมีส่วนร่วมของจีนต่อฐานทัพเรียม ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่เกรงว่าฐานทัพเรือแห่งนี้อาจพัฒนาเป็นฐานทัพของจีนในภูมิภาคอย่างเต็มรูปแบบ

ความกังวลดังกล่าวมีมาตั้งแต่ปี 2019 เมื่อหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า ฮุน เซน ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในข้อตกลงลับที่ให้สิทธิกองทัพจีนในการใช้ฐานทัพแห่งนี้เป็นระยะเวลา 30 ปี ก่อให้เกิดความกังวลว่า จีนอาจใช้ฐานทัพเรือแห่งนี้เป็นฐานทัพเรือแห่งใหม่ในทะเลจีนใต้และเป็นฐานทัพเรือในต่างแดนแห่งที่ 2 ของจีน รองจากฐานทัพในจิบูตี

ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธเรื่องนี้และยืนยันว่า “จะไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งฐานทัพต่างชาติในดินแดนของตน” โดยฮุน มาเนต ย้ำเรื่องนี้ในการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในพิธีฉลองการขยายฐานทัพเรือเรียมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 เมษายน

รายงานของ Cambodianess ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ระบุว่า เตีย เซฮา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้กล่าวว่า ฐานทัพเรียมบางส่วนจะยังคงห้ามไม่ให้กองทัพต่างชาติเข้า

“อาคารบางส่วนเป็นศูนย์บัญชาการของกัมพูชา ดังนั้นเราจึงมีพื้นที่หวงห้ามและพื้นที่เปิดโล่งของเราเอง และกัมพูชาไม่ใช่ประเทศเดียวที่ทำเช่นนี้” เขากล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากองทัพกัมพูชาจะพยายามแสดงความโปร่งใส แต่ประเด็นเรื่องอิทธิพลของจีนต่อฐานทัพเรียมก็ไม่น่าจะหมดไป

โดยหลังจากเรือรบญี่ปุ่นเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียมเมื่อกลางเดือนเมษายน เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชากล่าวว่า กัมพูชา “ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้โลกเห็นได้ว่า ฐานทัพเรียมจะไม่อนุญาตให้กองทัพจีนเข้ามาประจำการ” และคาดว่าความกังขาของสหรัฐฯ ต่อท่าทีกัมพูชาและบทบาทของจีนในฐานทัพเรือแห่งนี้ จะยังคงอยู่

“ทุกคนต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ปักกิ่งกำลังเตรียมการอย่างน่าเชื่อถือที่จะใช้กำลังทหารเพื่อเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจในอินโด-แปซิฟิก ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้สถานการณ์ดูดีกว่าความเป็นจริง ภัยคุกคามที่จีนก่อขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง และอาจจะใกล้เข้ามาแล้ว” เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชากล่าว

ทั้งนี้ ในอีกแง่หนึ่ง อาจมองได้ว่าการที่กัมพูชาเชิญเฮกเซธ และเรือรบสหรัฐฯ ให้มาเยือนฐานทัพเรือเรียมนั้น เป็นความพยายามเพื่อบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของจีนในฐานทัพเรียม

โดยรัฐบาลกัมพูชาได้ให้คำมั่นว่า ฐานทัพเรือเรียมจะเปิดรับเรือรบจากทุกประเทศพันธมิตร และได้ต้อนรับเรือรบญี่ปุ่นสองลำในการเยือนเป็นเวลา 4 วัน เมื่อวันที่ 19 เมษายน ตามมาด้วยเรือรบจากเวียดนามและรัสเซีย

แต่ถึงกระนั้น บทบาทของจีนเหนือฐานทัพเรือเรียม ยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งในพิธีฉลองเปิดฐานทัพเรือ ซึ่งมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรมและสนับสนุนร่วมฐานทัพเรือเรียม จีน-กัมพูชา โดยมีเฉา ชิงเฟิง รองเสนาธิการทหารบกแห่งคณะกรรมาธิการทหารกลางจีน และหวัง เหวินปิน เอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชา เข้าร่วม

โดย 1 วันหลังจากพิธีเปิดฐานทัพเรือเรียม เรือรบจากทั้งสองประเทศยังได้ร่วมการฝึกซ้อมรบ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางทหารของจีน ให้สัมภาษณ์ Global Times เชื่อมั่นว่า “การฝึกซ้อมรบระหว่างจีนและกัมพูชาในอนาคตน่าจะมีความถี่มากขึ้น และน่าจะครอบคลุมทั้งทางเรือและทางอากาศ ซึ่งจะช่วย ปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้”

ก่อนหน้านี้ พบว่าจีนยังได้จอดเรือคอร์เวตต์ หรือเรือรบขนาดเล็ก 2 ลำเทียบท่าไว้ที่ฐานทัพเรือเรียมตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 นอกจากนี้ ยังมีภาพถ่ายดาวเทียมที่เผยแพร่ออกมา แสดงให้เห็นว่า เรือรบจีนได้เข้าจอดเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียมอย่างต่อเนื่อง

โดยทางการกัมพูชาพยายามชี้แจงว่า เรือรบจีนที่เห็นนั้น ไม่ได้ประจำการถาวร แต่ถูกนำมาใช้ในการฝึกซ้อมรบร่วม Golden Dragon ซึ่งรัฐบาลจีน ยังได้ประกาศแผนที่จะมอบเรือคอร์เวตต์ Type-056A จำนวน 2 ลำให้กับกัมพูชาด้วย

รศ. ดร.ปณิธาน ให้ความเห็นต่อข้อกังวลในการใช้ฐานทัพเรือเรียมเป็นฐานทัพถาวรของจีน โดยชี้ว่า ในยุคสงครามสมัยใหม่นั้น จริงๆ แล้วน้ำหนักของฐานทัพเรือเรียมอาจจะไม่ได้มากเท่าไหร่นัก เพราะยุทธศาสตร์ปฏิบัติการรบต่างๆ ในขณะนี้ใช้ระบบควบคุมระยะไกล เช่น โดรน เครื่องบินสมัยใหม่ หุ่นยนต์ หรือ AI

ขณะที่สหรัฐฯ มีฐานทัพที่ไกลออกไปและยังมีกองเรือที่ลอยลำอยู่ในทะเลจีนใต้ และมีกองเรือที่ปฏิบัติการไปมา ทั้งที่สิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่อ่าวไทย แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็อาจจะต้องการใช้ฐานทัพที่เมืองดานัง ของเวียดนามมากกว่า ซึ่งสหรัฐฯ กำลังเจรจากับทางเวียดนามอยู่ ถ้าจะเป็นที่พักกองเรือหรือที่ซ่อมเรือชั่วคราว

บาลานซ์สัมพันธ์ สหรัฐฯ-จีน

รศ. ดร.ปณิธาน มองว่าท่าทีของกัมพูชาในการฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในขณะที่ยังคงรักษาสัมพันธ์กับจีนนั้น สอดคล้องกับแนวทางที่เรียกว่า สมดุลเชิงกลยุทธ์” (Strategic Equilibrium) หรือสมดุลใหม่

แต่การปรับสมดุลนี้ไม่ได้หมายความว่าน้ำหนักของจีนกับสหรัฐฯ จะเท่ากัน เพราะสินค้า เงินช่วยเหลือ ธนาคารเพื่อการพัฒนาโครงสร้าง อาวุธราคาถูก และตลาดของจีนก็ยังคงมีน้ำหนักมากกว่าสหรัฐฯ อยู่ดี

แต่การที่มีน้ำหนักมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียหลายอย่าง เช่นกรณีของเมียนมา หรือเวียดนาม ที่สุ่มเสี่ยงต่อเรื่องความมั่นคงและความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ทำให้หลายประเทศ ต้องมีการปรับน้ำหนักความสัมพันธ์กับ 2 มหาอำนาจให้สมดุลมากขึ้น แต่คงไม่ถึงกับสมดุล 50% ต่อ 50%

“อย่างน้อยๆ ก็ถ่วงดุลในหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ เช่น เรื่องการทหาร การแลกเปลี่ยน การฝึก การข่าว เรื่องเหล่านี้จะทำให้หลายประเทศอยู่ในจุดยืนทางยุทธศาสตร์ที่ได้เปรียบกว่าไทย ขณะที่สหรัฐฯ และจีนสามารถเอาน้ำหนักที่สมดุลขึ้นนั้นมาถ่วงดุลหรือมากดดันไทยได้ เช่นในการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง หากกัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ กับจีน ก็หมายความว่าแรงกดดันของจีน-สหรัฐฯ จะมาที่ไทยมากกว่ากัมพูชา” รศ. ดร.ปณิธาน กล่าว

ทั้งนี้ กรณีที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ จะเดินทางไปเยือนกัมพูชาโดยตรงและไม่แวะไทย รศ. ดร.ปณิธาน ชี้ว่าอาจเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่าการรักษาสมดุลกับ 2 มหาอำนาจของไทยนั้น ‘ไม่น่าจะดีเท่าไหร่นัก’ และยังต้องปรับหรือดำเนินการเชิงรุกให้มากขึ้น

ด้านคิน เฟีย ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่ง Royal Academy of Cambodia ให้สัมภาษณ์ Kiripost สื่อท้องถิ่นกัมพูชา ว่า การเยือนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ถือเป็น ‘สัญญาณที่ดี’ ในการเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างทั้งสองประเทศ

เขากล่าวว่า “พลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังกระตุ้นให้ทั้งจีนและสหรัฐฯ แสวงหาแนวทางใหม่ๆ สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคงแห่งชาติ”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากัมพูชามักถูกมองว่าพึ่งพาจีนอย่างมากทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร แต่เฟีย มองว่าการเยือนของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการสร้างสมดุลความสัมพันธ์และจุดยืนของกัมพูชาในภูมิภาค

“กัมพูชาไม่ได้พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง เราเปิดกว้างที่จะต้อนรับความร่วมมือใดๆ ที่เคารพอธิปไตยของประเทศและส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกัน” เขากล่าวย้ำ

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า การพัฒนาความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา ยังอาจก่อให้เกิดข้อกังขาเกี่ยวกับจุดยืนและนโยบายความร่วมมือของกัมพูชาต่อจีนด้วย

“สหรัฐฯ ยังคงสงสัยเกี่ยวกับฐานทัพเรือเรียม รวมถึงบทบาทของจีนในฐานทัพเรือ” เขากล่าว และชี้ว่า “การจัดการต่อมุมมองดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยทักษะทางการทูตและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับทั้งสองมหาอำนาจ”

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

20 ว่าที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีของโลก ปี 2030

40 นาทีที่แล้ว

มิลลิ ดนุภา และ วอร์ วนรัตน์ ร่วมพิสูจน์ศาสตร์ฟื้นฟูผิวจากไอเท็มใหม่ของ Lancôme

52 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วัดพระบาทน้ำพุยันไม่ได้ทิ้งสิ่งของบริจาค

สำนักข่าวไทย Online

7 กลุ่มเสี่ยง ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรีถึง 31 ส.ค. ตรวจรายชื่อหน่วยบริการที่แอปเป๋าตัง

ประชาชาติธุรกิจ

พายุถล่มขณะกำลังแข่งกีฬาสี เต็นท์ปลิวกระจัดกระจาย เด็กนักเรียนบาดเจ็บหลายราย

สยามนิวส์

แม่ทัพภาค 2 เสียใจปมพลทหารคลั่ง ยิง ปชช. เจ็บ เร่งเกลี้ยกล่อมมอบตัว

Thaiger

รัฐบาลเตือน! อย่าสแกน QR โค้ดในคลิปข่าว เสี่ยงสูญเงินหมดบัญชี

The Better

นักเรียนในอินโดฯ ป่วยอาหารเป็นพิษมากกว่า 360 คน จากอาหารกลางวันที่โรงเรียน

JS100

มทภ.2 เสียใจปมทหารรัวปืน รอตรวจสอบสาเหตุ

สำนักข่าวไทย Online

เช็กเส้นทางทั่วไทยวันนี้ 15 ส.ค. ทางหลวงผ่านไม่ได้ 2 แห่ง

The Bangkok Insight

ข่าวและบทความยอดนิยม

ตระกูลการเมืองกัมพูชา: โอกาสโค่นล้มระบอบฮุน เซน มีมากน้อยแค่ไหน?

THE STANDARD

Fed ลดดอกเบี้ย ครั้งแรกของปี กำลังใกล้เข้ามา? กดบอนด์ยีลด์ 2 ปีสหรัฐฯ ต่ำสุดรอบกว่า 3 เดือน

THE STANDARD

มาริษร่วมหารือ 3 ฝ่าย ไทย-จีน-กัมพูชา ขอบคุณบทบาทจีนหนุนแก้ปัญหาอย่างสันติ ย้ำความจำเป็นร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...