ลุ้นคำวินิจฉัยศาลปมคลิปเสียง ชี้ชะตา ‘นายกฯอิ๊งค์’ 29 ส.ค. ส่อมีผลต่อรัฐบาล
ยังกลายเป็นปริศนา และถูกตั้งคำถามในทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง "น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) จะวินิจฉัยในคดีคลิปเสียงหัวหน้ารัฐบาลไทยสนทนากับ “สมเด็จฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิง "พล.ท.บุญสิน พาดกลาง" แม่ทัพภาคที่ 2 ในทำนองว่า อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายเรา อีกทั้งบางคนยังบอกว่า การตัดสินใจลาออกก่อนศาลจะวินิจฉัย จะทำให้มีการจำหน่ายคดีออกจากสารบบ ไม่ต้องไปเสี่ยงหากพบว่ามีความผิดในเรื่องประพฤติผิดทางด้านจริยธรรม ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต แต่อย่าลืมว่า มีคนไปร้องให้คณะกรรมการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบอยู่ด้วย หรือ นายกฯ อาจกังวลว่า ถ้าหากตัดสินใจลาออกในช่วงนี้ อาจมีผลต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งนอกจะผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ยังต้องพิจารณาในขั้นตอนของวุฒิสภาอีกด้วย
ด้าน "นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ" สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน สส.พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวว่า น.ส.แพทองธาร จะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ หลัง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ผ่านสภา โดยยืนยันว่า น.ส.แพทองธาร จะไม่ลาออกจากตำแหน่ง เพราะว่าฟัง และเจอนายกฯ ที่ยืนยันว่าท่านไม่ลาออก เราให้กำลังใจนายกฯ อย่างเต็มที่ ส่วนกำลังใจของคนในพรรค พท. ยังดีเต็มเปี่ยม ไม่มีให้ท้อถอยและไม่กังวลใดๆ ต่อกระบวนการวินิจฉัยของศาล เรายังเชื่อมั่นว่านายกฯ บริสุทธิ์และมีเจตนาดีต่อชาติบ้านเมือง
ส่วน “นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงกรณีการประชุมศาล รธน.วันที่ 13 ส.ค.ที่อาจจะพิจารณานัดฟังคำวินิจฉัยคดีถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ กรณีคลิปสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่า อยากให้ศาล รธน. ชะลอการพิจารณาคดีดังกล่าวไว้ก่อน พร้อมทั้งให้ยกเลิกคำสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เพื่อให้กลับมามีอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน ในช่วงภาวะวิกฤติทั้งปัญหาสงครามชายแดน กรณีภาษีการค้าสหรัฐ และแก้ปัญหาภายในประเทศต่างๆ ทั้งการปราบยาเสพติด คดีเขากระโดง
“ควรหยุดคดีนายกฯ ไว้สัก 6 เดือน เมื่อแก้ปัญหาต่างๆ ผ่านไปแล้ว ค่อยนัดตัดสินคดีอีกครั้ง การมีนายกฯ ตัวจริงบริหารประเทศในภาวะวิกฤติย่อมเป็นผลดีต่อประเทศมากกว่านายกฯ รักษาการแน่นอน ที่การบริหารงานไม่ราบรื่น” สส. พรรค พท. ให้ความเห็น
อย่างไรก็ตาม ช่วงบ่าย ตุลาการศาล รธน. นัดประชุมประจำสัปดาห์ตามปกติ โดยมีวาระพิจารณาคำร้องที่น่าสนใจ คือกรณีประธานวุฒิสภา ส่งคำร้อง สว. 36 คน ขอให้วินิจฉัยตาม รธน. มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม รธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ จากการกล่าวหาว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทั้งนี้ สำหรับคำร้องดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ศาล รธน. มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา และมีมติเสียงข้างมากให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัย และสั่งให้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน ต่อมา น.ส.แพทองธาร ได้ยื่นขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา 2 ครั้ง และศาล รธน.อนุญาตทั้ง 2 ครั้ง กระทั่ง 4 ส.ค.ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเข้ามา
ผลการพิจารณา ศาล รธน.พิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ ผู้ถูกร้อง และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ส.ค. 2568 เวลา 10.30 น. พยานบุคคลที่ศาล รธน. เรียก หากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันพุธที่ 27 ส.ค. 2568 หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่น โดยศาล รธน. นัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ
เชื่อว่า หลายฝ่ายคงรอลุ้นคำวินิจฉัยของศาล รธน. คดีคลิปเสียง เพราะจะมีผลต่อความเป็นไปของรัฐบาล และมีผลต่อการเมืองไทย ถ้า “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร" ไม่ได้ไปต่อ ต้องรอลุ้นว่า “พรรค พท.” จะคุมสภาพการเมืองได้หรือไม่
ที่น่าสนใจในระหว่างมีการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระ 2 และ 3 เป็นวันแรก โดยได้ปรับลดงบประมาณ 8,920,781,300 บาท มีข้อมูลที่น่าสนใจ
“น.ส.รักชนก ศรีนอก” สส.กทม. พรรค ปชน. อภิปรายขอให้ปรับลดงบประมาณ และเสนอให้ยกเลิกแผนบูรณาการด้านต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่น ในหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่สนับสนุนการต่อต้านการทุจริต แต่มองว่าควรเลิกใช้งบประมาณหลักพันล้านบาท ที่ไม่สามารถวัดผลได้ เพราะไร้แผนการชี้วัดที่ชัดเจน ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลือง นอกจากนั้นงบประมาณ เพื่อสนับสนุนให้กับอาสาสมัครในหน่วยงานต่างๆ ที่พบว่าหลายพรรคการเมืองพยายามใช้เครือข่ายอาสาต่างๆ เพื่อหวังผลทางการเมือง ปฏิบัติการหลายอย่าง
"ไม่ขอพูดว่าเป็นอะไร แต่ประชาชนไม่โง่ เพราะดูออกว่านักการเมืองใช้เครื่องมือ ที่เป็นงบประมาณจากภาครัฐ เมื่อ อสม. ทำปฏิบัติการบางอย่างสำเร็จ ทำให้กระทรวงอื่นทำตาม เช่น อาสากระทรวงการพัฒนาสังคมฯ อาสากระทรวงดิจิทัลฯ อาสากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ โดยเฉพาะอาสากระทรวงเกษตรฯ มีอาสาเกือบทุกกรม รวมถึงอาสากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เพราะคนเห็นแล้วว่า เมื่อเป็นรัฐมนตรีใช้อาสาทำอะไรได้บ้าง" สส.พรรค ปชน. กล่าว
น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า ขอให้รัฐบาลรวบรวมอาสาของหน่วยงานต่างๆ และทำให้เหลือกระทรวงเดียว เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับงบประมาณ พบว่าทุกกระทรวงอยากมีอาสาเป็นของตัวเอง ที่ผ่านมาการตั้งอาสาเป็นอาสาธรรมดา แต่ต่อมามีการให้ของตอบแทน และกลายเป็นเงินเดือน สิ้นเปลืองงบประมาณซ้ำซ้อนและวัดผลอะไรไม่ได้ และพูดตรงๆ เป็นแขนขาให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงทำปฏิบัติการบางอย่าง ดิฉันไม่เห็นด้วยกับเอางบแผ่นดินไปทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของบางพรรคการเมือง ที่เป็นรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงนั้นๆ มันทุเรศ แต่ไม่อยากให้ทำ เคารพอาสาทั่วประเทศ ได้ประโยชน์เม็ดเงินตรงนี้ แต่ควรใช้เงินให้ถูกจุด เพราะทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ควรใช้ในสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนก่อน
"นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์" สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายว่า งบก่อสร้างที่คณะอนุ กมธ.ก่อสร้างขอมามีกว่า 320,000 ล้านบาท มีปัญหา 8 ด้าน คือ 1.ขอในสิ่งไม่ควรขอ เช่น บ้านพัก ผบ.ตร.และรองผบ.ตร. รวม 7 หลัง 91 ล้านบาท อ้างว่าเป็นศูนย์บัญชาการ แต่ออกแบบเป็นบ้านพัก มีห้องจัดเลี้ยง หรืองบสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า 3,800 ล้านบาท พิพิธภัณฑ์ฝนหลวง เพชรบุรี 450 ล้านบาท ทั้งที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่แล้วทั้งประเทศ 1,500 แห่ง แต่ขอสร้างไม่เลิก 2.ขอสร้างอาคารขนาดใหญ่เกินความจำเป็น เช่น ตึกกระทรวงคมนาคม 3,832 ล้านบาท เหมาะกับคน 3,000 คน แต่อยู่จริงแค่ 1,000 คน ผลาญงบกว่า 2,000 ล้านบาท 3.ราคาต่อหน่วยแพงเกินจริง เช่น โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถูกลดงบ 47% จาก 260 ล้านบาท เหลือ 137 ล้านบาท เพราะค่าตกแต่งภายในแพงมาก เช่น งาน Built in ราคาเมตรละ 1 แสนบาท แพงกว่าราคาตลาด 5-10 เท่า ประตูบานละ 1 แสนบาท เคาน์เตอร์เวชระเบียน 2 ล้านบาท ตู้ใส่รองเท้าคนไข้ 7 แสนบาท ตู้ใส่ผ้าอบ 2 ล้านบาท
นายศุภณัฐ กล่าวว่า 4.ไม่บูรณาการการใช้สอยอาคารร่วมกัน กลายเป็น 1 กรม 1 สำนัก 1 ตึก อยู่จังหวัดเดียวกัน ก็สร้างแยกกัน 5.ชอบสร้าง ไม่ชอบเช่า เพราะอยากมีเอี่ยวการจัดซื้อจัดจ้าง 6.อยากเป็น Operator สร้างแข่งกับเอกชน เช่น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอสร้างตึก อาคารสำนักงานและจัดนิทรรศการ 873 ล้านบาท แทนที่จะไปขอเช่าตึกจากเอกชนได้ราคาถูกกว่า 7.ใช้ที่ดินเปลือง 8.จัดสรรงบผิดฝาผิดตัว เช่น กระทรวงกลาโหมไปแข่งสร้างถนน ทำน้ำประปา เจาะบ่อบาดาล ลอกคลอง ผลิตยา สร้างโรงพยาบาลกับหน่วยงานอื่น ตั้งงบไร้ประสิทธิภาพทั้งสิ้น
เชื่อว่าสังคมคงตั้งข้อสงสัย เหตุผลในการที่แต่ละกระทรวงตั้งอาสาสมัครขึ้นมา เพื่อประโยชน์ทางการหรือไม่ โดยมีการให้ค่าตอบแทน หรือกรณี “นายศุภณัฐ" ที่อภิปรายว่า งบก่อสร้างที่คณะอนุ กมธ.ก่อสร้างขอมามีกว่า 320,000 ล้านบาท มีปัญหา 8 ด้าน คืออย่างเช่น ขอในสิ่งไม่ควรขอ เช่น บ้านพัก ผบ.ตร.และรองผบ.ตร. รวม 7 หลัง 91 ล้านบาท อ้างว่าเป็นศูนย์บัญชาการ แต่ออกแบบเป็นบ้านพัก มีห้องจัดเลี้ยง หรืองบสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า 3,800 ล้านบาท พิพิธภัณฑ์ฝนหลวง เพชรบุรี 450 ล้านบาท ทั้งที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่แล้วทั้งประเทศ 1,500 แห่ง แต่ขอสร้างไม่เลิก ขอสร้างอาคารขนาดใหญ่เกินความจำเป็น เช่น ตึกกระทรวงคมนาคม 3,832 ล้านบาท เหมาะกับคน 3,000 คน แต่อยู่จริงแค่ 1,000 คน ผลาญงบกว่า 2,000 ล้าน.
"ทีมข่าวการเมือง"