ธนาคารสหรัฐฯ ลุกค้าน! กดดันรัฐสภาปิดช่องโหว่ “Stablecoin ให้ผลตอบแทน” หวั่นกระทบเสถียรภาพระบบการเงิน
กลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำสหรัฐฯ นำโดย BPI ส่งสารถึงรัฐสภา จี้อุดช่องโหว่กฎหมาย GENIUS Act ที่เปิดทางให้ผู้ออกเหรียญ Stablecoin ใช้บริษัทในเครือหรือพันธมิตรแลกเปลี่ยนคริปโตจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนโดยอ้อม หวั่นดูดเงินฝากจากระบบธนาคารมูลค่ากว่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ กระทบเสถียรภาพสินเชื่อทั่วประเทศ ชี้หากปล่อยปละละเลย อาจบั่นทอนกลไกการปล่อยกู้ กระทบต้นทุนทางการเงินภาคธุรกิจและครัวเรือนอย่างรุนแรง
กลุ่มธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงสถาบันนโยบายธนาคาร (Bank Policy Institute: BPI) สมาคมธนาคารอเมริกัน (ABA) สมาคมธนาคารผู้บริโภค และฟอรัมบริการทางการเงิน ออกมาเรียกร้องอย่างเป็นทางการให้รัฐสภาปิด “ช่องโหว่กฎหมาย” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการ Stablecoin และบริษัทในเครือ สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนแก่ผู้ถือเหรียญได้ทางอ้อม
จุดโฟกัสอยู่ที่พระราชบัญญัติ GENIUS Act ซึ่งแม้จะมีบทบัญญัติห้ามผู้ออก Stablecoin จ่ายดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนโดยตรง แต่กลับไม่มีข้อห้ามครอบคลุมไปยังแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโต (Crypto Exchanges) หรือธุรกิจในเครือ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผู้ประกอบการจะ “เลี่ยงกฎหมาย” ด้วยการใช้พันธมิตรเหล่านี้เป็นช่องทางดึงดูดนักลงทุนผ่านข้อเสนอผลตอบแทน
BPI เตือนว่า หากไม่เร่งอุดช่องโหว่นี้ ผลกระทบจะลุกลามถึงการไหลออกของเงินฝากมูลค่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์จากระบบธนาคารดั้งเดิม สั่นคลอนแหล่งทุนที่ใช้สนับสนุนการปล่อยกู้แก่ภาคธุรกิจและครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสภาวะการเงินตึงตัว ซึ่งอาจซ้ำเติมต้นทุนการกู้ยืมและลดปริมาณสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจ
ในจดหมายถึงรัฐสภา กลุ่มธนาคารชี้ว่า Stablecoin แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเงินฝากธนาคารหรือกองทุนตลาดเงิน เนื่องจากไม่ได้ใช้เงินทุนจากการออกเหรียญไปปล่อยกู้หรือลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน จึงไม่ควรถูกอนุญาตให้มีกลไกจ่ายดอกเบี้ยในลักษณะเดียวกันกับธนาคารที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวด
ขณะที่รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายน ระบุว่า หาก Stablecoin สามารถจ่ายผลตอบแทนได้อย่างอิสระ อาจเร่งกระแสเงินไหลออกจากเงินฝากธนาคารในวงกว้าง สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพสินเชื่อ และอาจนำไปสู่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น–การปล่อยกู้ที่น้อยลง–และต้นทุนการเงินที่แพงขึ้นสำหรับผู้ประกอบการและครัวเรือน
อย่างไรก็ดี แม้ปัจจุบันตลาด Stablecoin จะมีมูลค่ารวมราว 280.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียงเศษเสี้ยวของปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐที่อยู่ในระบบกว่า 22 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ข้อมูลจาก CoinGecko ชี้ว่าตลาดนี้ถูกครอบครองโดย Tether และ USDC รวมกันกว่า 80% ของมูลค่าทั้งหมด และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งลงนาม GENIUS Act เมื่อ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์มองว่ากฎหมายนี้อาจตอกย้ำการครอบงำของดอลลาร์สหรัฐในตลาดการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าตลาด Stablecoin อาจพุ่งแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571
อย่างไรก็ดีหากไม่มีการอุดช่องโหว่ตามที่กลุ่มธนาคารเรียกร้อง เส้นบางๆ ระหว่าง “นวัตกรรมการเงิน” และ “เสถียรภาพระบบการเงิน” อาจกลายเป็นจุดปะทุความเสี่ยงครั้งใหม่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตอันใกล้
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO