ตรวจแนวรบ ‘เวทีโลก’ ศึกชายแดน ไทยเชิงรับ-กัมพูชาเชิงรุก
ฉากปะทะกันด้วยกำลังทหาร ระหว่างไทย-กัมพูชา เวลานี้พักรบกันชั่วคราว ภายหลังทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลง “หยุดยิง อย่างไม่มีเงื่อนไข” ในวันที่ 28 ก.ค.2568 โดยมีประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นตัวกลาง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ปรับโหมดจากศึกยุทธวิธี มาสู้กันในเกม “เวทีโลก” ต่างฝ่ายต่างพยายามสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสายตาประชาคมโลก
ทว่า เกมของ “กัมพูชา” ดูเหมือนจะขยับเร็วว่า “รัฐบาลไทย” อยู่หนึ่งก้าวเสมอ
ต้องยอมรับว่า“ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา กับ “ฮุน มาเนต” นายกฯกัมพูชา คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ สั่งการได้ทุกระดับ แตกต่างจาก “รัฐบาลไทย” กับ “กองทัพไทย” ที่การทำงานไม่สอดประสานกันเท่าที่ควร หลายครั้งที่มุมมองต่อสถานการณ์ มีความเห็นไม่ตรงกันจนส่งผลต่อแนวปฏิบัติ
ฝั่ง “กัมพูชา” ตั้งแต่หยุดยิง จะเห็นปฏิบัติการเชิงรุก ด้านการสื่อสารทันที ไม่ว่าข้อมูลที่ถ่ายทอดออกมา จะมีข้อสังเกต-ข้อสังสัย ว่าตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่เมื่อช่วงชิงจังหวะสื่อสารออกไปก่อน ย่อมได้เปรียบในเชิงยุทธศาสตร์
ฉาก “ควน โซะดารี” ประธานสภากัมพูชา บีบน้ำตา กล่าวในที่ประชุมสุดยอดประธานรัฐสภาสตรี ครั้งที่ 15 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้แนวคิด ภาวะผู้นําเพื่อสันติภาพร่วมกันและยั่งยืน เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนของประธานรัฐสภาหญิงจาก 30 ประเทศเข้าร่วม เรียกแต้มได้จากกลุ่มดังกล่าว
การเดินเกมเร็ว เชิญคณะทูต และผู้ช่วยทูตทหารจาก 13 ประเทศ รวมทั้งสื่อต่างประเทศ เดินทางลงพื้นที่ชายแดนบริเวณช่องอานม้า เพื่อตรวจสอบซากปรักหักพังของ “อนุสาวรีย์ตาอม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นผู้ยิงทำลายอนุสาวรีย์ดังกล่าวในช่วงการสู้รบที่ผ่านมา ทำให้ “กัมพูชา” มีกระบอกเสียงช่วยสนับสนุน
ที่สำคัญ “กัมพูชา” ได้อธิบายกับคณะทูต ผู้ช่วยทูตทหาร สื่อต่างประเทศ เกี่ยวกับบริบททางสงครามทั้งหมด โดยอ้างว่า “ทหารไทย” โจมตีที่อยู่อาศัยของประชาชนกัมพูชา บริเวณช่องจอม ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยของทหารกัมพูชา
ขณะเดียวกัน ยังมีปล่อยภาพลูกระเบิดขนาด 2,000 ปอนด์ โดยอ้างว่าเป็นระเบิดจากเครื่องบิน F16 ของ"ทหารไทย" ทั้งที่ลูกระเบิดดังกล่าวมีสภาพค่อนข้างเก่า เมื่อตรวจสอบภาพ พบว่าเป็นภาพเก่า ไม่ใช่ในเหตุการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาจาก “ทหารกัมพูชา” ในพื้นที่ว่า ไทยละเมิดสัญญาหยุดยิง โดยใช้ปืนขู่เข็ญ “ทหารกัมพูชา” ก่อนจะจับไปเป็นเชลยศึก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเที่ยงคืนของวันที่ 29 ก.ค.
“กัมพูชา”ยังเดินเกมฟ้องโลกว่า “ไทย” ในฐานะที่เป็นประเทศใหญ่รังแก แม้จะมีหลายเรื่องที่กล่าวหาไทย จะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ปฏิบัติการ “เฟกนิวส์” กลับได้ผลในระดับหนึ่ง
นอจากฝั่ง “รัฐบาลไทย” ที่มักจะเดินเกมช้ากว่า “รัฐบาลกัมพูชา” ยังเห็นได้ว่า ปฏิบัติการเชิงรุกในเวทีโลกมีให้เห็นน้อยกว่ามาก มีเพียงปฏิบัติการเชิงรับ คอยแก้เกม “กัมพูชา” จากข้อกล่าวหาในหลายประเด็น
โดยตั้งแต่หยุดยิง “กองทัพ” ตั้งรับอยู่ในที่ตั้ง คอยชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาของ “กัมพูชา” ทั้งประเด็นการผิดเงื่อนไขหยุดยิง ประเด็นลูกระเบิด ขั้นตอนการจับเชลยกัมพูชา เป็นต้น
พร้อมกันนี้ต้อนรับ พล.อ.ดาโต๊ะ โมฮัมหมัด นิซัม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย โดยมีแม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2 คอยชี้แจงลำดับเหตุการณ์การปะทะ
อย่างไรก็ตามในวันที่ “กองทัพ” เชิญเอกอัครราชทูตและผู้ช่วยทูตทหารจากหลายประเทศ ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันนี้ เพื่อตรวจสอบความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของกัมพูชา โดยเฉพาะในเขตชุมชน โรงเรียน และโรงพยาบาล ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักกว่า 20 แห่ง
ส่วน “รัฐบาล” ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเชิงรุกออกมาให้เห็น มีเพียงการทำหนังสือประท้วงไปยัง มาเลเซีย - สหรัฐฯ - จีน ปม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เนื่องจากมีการยิงหลังเที่ยงคืนวันที่ 29 ก.ค.
ขณะเดียวกัน “มาริษ เสงี่ยมพงษ์” รมว.การต่างประเทศ ต้อนรับการมาเยือนของ “บุ่ย แทงห์ เซิน” รองนายกฯ รมว.ต่างประเทศเวียดนาม พร้อมชี้แจงสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
จุดอ่อนนี้ หากรัฐบาลไทยยังไม่เร่งแก้ปัญหา ย่อมกระทบต่อยุทธศาสตร์การเมืองทั้งในประเทศ และนอกประเทศ อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเวลานี้ ที่ไทยกำลังถูกโฟกัสอยู่บนเวทีโลก