Mo-Mo-Paradise ชู ‘ความคุ้มค่า+คุณภาพ’ สู้ศึกตลาดชาบู-สุกี้เดือด
ขณะที่เราได้เห็นการสาด ‘สงครามราคา’ ในธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะตลาดสุกี้และชาบูอย่างดุเดือด แต่ทาง Mo-Mo-Paradise ได้ประกาศชัดว่า ไม่สนใจลงไปเล่นในสงครามนี้ และขอโตตามเส้นทางของตัวเอง นั่นคือ ใช้ ‘ความคุ้มค่า+คุณภาพ’ สไตล์ญี่ปุ่นแท้ เป็นจุดแข็งเพื่อสร้าง Brand Love มัดใจลูกค้า
“เราอยากให้ลูกค้ามา Mo-Mo-Paradise เพราะรักในแบบที่เราเป็น ไม่ใช่มาเพราะมีการอัดโปรฯ แรง ๆ หรือลดราคา”
เป็นคำตอบของ‘สุรเวช เตลาน’ ซีอีโอ บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise ในไทย เมื่อถูกถามว่า ทางแบรนด์จะมีโปรโมชั่นเด็ดอะไรออกมาสำหรับเพิ่มยอดขายและดึงกำลังซื้อผู้บริโภคในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างหนัก
สำหรับการให้ลูกค้ารักในแบบที่ Mo-Mo-Paradise เป็น ก็คือ จะชู ‘ความคุ้มค่า’ และ‘คุณภาพ’ ตามแบบฉบับชาบูสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ มาเป็นทั้งจุดขายและจุดแข็ง ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นสิ่งที่สุรเวชใช้สร้างธุรกิจนับตั้งแต่นำแบรนด์นี้เข้ามาในไทยเมื่อ 18 ปีก่อน
ขณะที่การขยายสาขา ในปีนี้ยังไม่มีแผนขยายสาขาใหม่ แต่จะหันมาเน้นสร้างการเติบโตของยอดขายในร้านเดิม (Same store sale growth) ให้มากขึ้นแทน ผ่านการปรับปรุงคุณภาพการบริการ นำเทคโนโลยี อาทิ ระบบ POS, ERP, AI ฯลฯ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ควบคู่ไปกับการมีเงินทุนสำรองและกระแสเงินสดที่เหมาะสม
“18 ปี เรามี 30 สาขา ถือว่าน้อยนะเมื่อเทียบกับจำนวนปีที่ทำธุรกิจ ทว่าอย่างที่บอกเราอยากโตในแบบของเรา อย่างก่อนหน้านี้ช่วงที่ร้านชาบูแข่งกันเดือด ๆ จะเห็นหลายแบรนด์นำสินค้าอื่นเข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะซูชิและปลาแซลมอน แต่เราไม่ทำ เนื่องจากไม่ใช่ตัวตนและทางของแบรนด์เรา ซึ่งเราไม่เคยเขว้ ทำให้เราเดินได้อย่างแข็งแรงมาถึงทุกวันนี้”
เศรษฐกิจมีลงก็มีขึ้นได้
ส่วนสภาพเศรษฐกิจ สุรเวชบอกว่า มีขึ้นก็มีลง เมื่อลงก็มีโอกาสขึ้น โดยตั้งแต่เขาทำธุรกิจมานาน 18 ปี ไม่เคยมีปีไหนที่คนบอกว่า ‘เศรษฐกิจดี’ ที่สำคัญวิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก แม้ดูจะลากยาวและมีความท้าทายเป็นอย่างมากก็ตาม
ขณะที่ ‘สงครามราคา’ เราจะเห็นการเล่นกลยุทธ์นี้ไปอีกสักระยะ แต่คงไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะแต่ละแบรนด์รู้ดีว่า ในระยะยาวกลยุทธ์ดังกล่าสไม่ได้ส่งผลดีต่อธุรกิจ ทั้งกระทบภาพลักษณ์และมีผลในเรื่องรายได้อย่างแน่นอน
สำหรับการดำเนินงานของ Mo-Mo-Paradise ช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2568 ยังเห็นการเติบโต ซึ่งทั้งปี 2568 ทางบริษัทฯวางเป้ายอดขายไว้ประมาณ 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำไป 1,700 ล้านบาท มาจากแบรนด์ Mo-Mo-Paradise เป็นหลัก
ส่วนอีก 3 แบรนด์ในเครือ ได้แก่ Nabezo Premium ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ระดับพรีเมียม, Gyukatsu Kyoto Katsugyu ร้านเนื้อทอดสไตล์ญี่ปุ่น และ Guljak Topokki & Chicken ร้านต๊อกบกกีและไก่ทอดเกาหลี ที่ตอนนี้มีสาขารวม 8 แห่ง คาดว่า จะสร้างยอดขายให้ราว 100 ล้านบาท