เพราะโลกนี้มี “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช”
ทวี สุรฤทธิกุล
ประวัติวีรบุรุษไซร้ เตือนใจ เรานา
ว่าอาจจะยังชนม์ เลิศได้
และยามจะบรรลัย ทิ้งซึ่ง
รอยบาทเหยียบแน่นไว้ แทบพื้นทรายสมัย
พระราชนิพนธ์แปลในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แม้ร่างกายจะล่วงลับจากโลกนี้ไปเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมานั้นแล้ว แต่ “รอยเท้าบนพื้นทราย” ที่ท่านฝากไว้ให้กับสังคมไทยและสังคมโลก ยังประทับแน่นตราตรึง
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2517 เวียดนามเหนือบุกยึดเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาที่มาช่วยรบอยู่เกือบ 20 ปีต้องหนีกระเจิดกระเจิง ประเทศเวียดนามกลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ หลังปีใหม่ พ.ศ. 2518 เวียดนามบุกเขมร พอเดือนเมษายนเขมรก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ พวกคอมมิวนิสต์ในลาวก็ฉลองชัยร่วมด้วย และประกาศจะนำลาวให้เป็นคอมมิวนิสต์อีกประเทศหนึ่งต่อไป
26 มกราคม 2518 ประเทศไทยมีการเลือกตั้ง แต่กว่าจะได้รัฐบาลก็ตอนกลางเดือนมีนาคม พอเดือนถัดมาในวันที่ 18 เมษายน เวียดนามก็ยึดกรุงพนมเปญ ทหารเข้ารายงานนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่ากองทัพเวียดนามมาตั้งทัพประชิดอยู่ที่ชานแดนแล้ว นายกรัฐมนตรีก็ให้เรียกประชุมสภาความมั่นคงทันที นายกรัฐมนตรีถามผู้นำเหล่าทัพว่า ถ้าเวียดนามและเขมรแดงบุกเข้ามา กองทัพไทยจะต้านได้กี่วันกว่าที่จะมาถึงกรุเทพฯ ผู้นำเหล่าทัพตอบว่า “3 วัน” พอปิดประชุมวันนั้น นายกรัฐมนตรีขอเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พลตรีชาติชาย ชุณหวัน มาพบทันที
แล้วนายกรัฐมนตรีก็พูดขึ้นว่า “พี่ชาติ เราต้องบินไปจีนแดงแล้วหละ”
พลตรีชาติชายให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี นายอานันท์ ปันยารชุน กลับมาประเทศไทยและเข้ามาที่กระทรวงโดยด่วน และขอให้เตรียมการเพื่อเดินทางไปเปิดสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเร็ว ซึ่งสามารถจัดการได้เรียบร้อยในอีก 2 เดือนต่อมา โดยในวันที่ 28 มิถุนายน 2518 คณะตัวแทนรัฐบาลไทย ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
วันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ไทยได้ลงนามสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน ให้ฟื้นความสัมพันธ์กลับมาเป็นปกติ หลังจากที่ได้ระงับความสัมพันธ์ไปตั้งแต่หลังสงครามโกลครั้งที่ 2 ที่จีนได้มีรัฐบาลจากพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นปกครองประเทศ นำโดยเหมาเจ๋อตง ใน พ.ศ. 2492 ผลจากการสร้างสัมพันธ์ขึ้นใหม่ในครั้งนั้นได้ทำให้กองทัพเวียดนามและเขมรแดงไม่ได้รุกรานเข้ามายังไทย แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือความอ่อนแอที่เกิดขึ้นกับพรรคคอมมิวนิสต์ของไทย อันเป็นผลจากการลดการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้สงครามการก่อการร้ายโดยพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในภูมิภาคต่าง ๆ ที่ดำเนินมากว่า 10 ปี ต้องหมดประสิทธิภาพไป แผนการของคอมมิวนิสต์ที่จะแยกประชาชนคนไทยออกจากรัฐบาลไทยก็ค่อย ๆ สลายไป ทำให้รัฐบาลในสมัยต่อ ๆ มาได้ใช้ยุทธวิธี “การเมืองนำการทหาร” อย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์เองก็ใช้มาก่อนนั้น เข้าจัดการกับพวกคอมมิวนิสต์ และในที่สุดคอมมิวนิสต์ก็สิ้นพลังลงไปในทุกภูมิภาคใน พ.ศ. 2525 ที่รัฐบาลไทยได้ให้คนที่เคยไปเข้าด้วยกับพวกคอมมิวนิสต์นั้น กลับมาเป็น “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย” ตามนโยบาย 66/2523
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าถึงการเดินทางไปเปิดสัมพันธไมตรีทางการทูตกับจีนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 นั้นว่า ทางจีนมีความกระตือรือร้นที่จะเปิดสัมพันธไมตรีกับไทยเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่มีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ที่ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่กว่าการต้อนรับที่จีนจัดให้กับประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐอเมริกา ที่เดินทางมาใน พ.ศ. 2515 นั้นเสียอีก อีกทั้งได้ลงนามฟื้นความสัมพันธ์ไทยจีนกับนายกรัฐมนตรีโจวเอนไหล ที่ตอนแรกคิดว่าท่านจะมาลงนามไม่ได้เพราะป่วยหนัก แต่ในวันที่ 1 กรกฎาคมก็แข็งแรงขึ้นมาเหมือนเกิดอภินิหาร และการลงนามก็สำเร็จไปได้อย่างราบรื่นสวยงาม ที่สำคัญมีความยั่งยืนและพัฒนาก้าวหน้ามาโดยตลอด ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่าน่าจะเป็นด้วย “ความเคารพนับถือ” ที่คนจีนมีต่อคนไทยมานับพัน ๆ ปีนั่นเอง
“ความเคารพนับถือ” นี้เป็นภาษาทางการทูต แต่ในในภาษาชาวบ้านก็คือ “ความรัก - ความผูกพัน” ที่คนจีนกับไทยมีต่อกันมาตั้งแต่โบราณ ดังที่มีคำพูดในหมู่คนจีนและคนไทยมาแต่ครั้งอดีตว่า “คนจีนคนไทย ใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”
ท่านอาจารย์อธิบายถึง “ความรัก - ความผูกพัน” นี้โดยเล่าถึงเหตุการณ์ในเรื่องที่ท่านได้เข้าพบกับท่านประธานพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน เหมาเจ๋อตง ในตอนเช้าวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 ก่อนที่จะได้ไปลงนามรับรองสัมพันธไมตรีทางการทูตกับนายกรัฐมนตรีโจวเอนไหลในเวลาต่อมา
ท่านประธานเหมาใน พ.ศ.นั้นอยู่ในวัย 82 ปี อยู่ในอาการป่วยกระเสะกระแสะมาเป็นระยะ ตอนแรกก็ไม่ได้มีนัดหมายที่จะให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เข้าพบ แต่เมื่อได้เข้าพบ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็บอกว่าท่านประธานเหมาดีใจเหมือนได้พบหน้าญาติพี่น้องที่ไม่ได้เจอกันมานาน การสนทนาเป็นไปอย่างมีความสุขเป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง โดยที่ท่านประธานเหมาได้ให้ข้อคิดที่ดีมาก ๆ ในการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องของคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ข้อแรก ท่านประธานเหมาบอกว่า คอมมิวนิสต์อย่าไปฆ่ามัน มันอยากดัง ยิ่งฆ่ายิ่งเหมือนยุ ข้อสอง รัฐบาลของไทยต้องไปทำให้ประชาชนมีอยู่มีกิน แล้วคอมมิวนิสต์ก็จะหมดไปเอง ซึ่งเมื่อท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กลับมาไทย ก็ได้ทราบว่าเรื่องนี้มีคนทำมาแล้วในประเทศไทย และได้ทำมานานแล้ว นั่นก็คือโครงการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยพระราชอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้ทรงมาตั้งแต่ที่ทรงลงพื้นที่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยมาตั้งแต่ที่ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่าท่านประธานเหมาน่าจะติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในทุกระดับมาโดยตลอด ทำให้มีความรู้เกี่ยวกับคนไทยและประเทศไทยเป็นอย่างดี อันแสดงถึง “ความรัก - ความผูกพัน” ที่คนจีนมีต่อคงไทยมาอย่างแน่นแฟ้น นี่คือสิ่งที่เป็น “เกราะป้องกัน” ที่อยู่ภายนอก ที่คอยปกป้องและอุปถัมภ์อุ้มชูคนไทยและประเทศไทยเสมอมา จนล่วงเข้า 50 ปีในปีนี้
จีนเองก็ได้ประโยชน์จากไทยมากเช่นกัน เพราะการแสดงความรักความผูกพันกับไทยอย่างลึกซึ้งในครั้งนั้น ได้ทำให้นานาชาติที่เริ่มตั้งแต่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขยายไปทั่วเอเชีย ตลอดจนยุโรป (ส่วนสหรัฐอเมริกานั้นได้ไปเปิดสัมพันธ์กับจีนมาก่อนไทยแล้ว) มีความไว้วางใจและเชื่อมั่นในรัฐบาลจีน จนเกิดความสัมพันธ์ที่ดีเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแรง และได้ทำให้จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกในที่สุด
วลีสุภาษิตของจีนบทหนึ่งกล่าวว่า “ตักน้ำอย่าลืมคนขุดบ่อ” ซึ่งทางการของจีนได้ใช้คำ ๆ นี้ทุกครั้งเมื่อพูดถึง ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ริเริ่ม “ขุดบ่อ” ให้คนไทยแลจีนได้อิ่มเอมกับ “น้ำ” แห่งสัมพันธภาพอันใสสะอาดของประเทศทั้งสองมาอย่างยาวนานและมั่นคงตลอดไป