สรุปปมเดือดดุสิตธานี พี่น้องแบ่งมรดกไม่ลงตัว เซ็นทรัลกับดราม่าแทรกแซง
ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษาภาคมที่เกิดปัญหาความขัดแย้งภายใน บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (DUSIT) โดยต้นตอความขัดแย้ง มาจากความเห็นต่างในการบริหารระหว่าง ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ (ลูกชายคนโต) และ น้องสาวสองคน (‘สินี เธียรประสิทธิ์’ และ ‘สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค’) ในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี
TODAY Bizview จะมาสรุปเรื่องนี้ให้ครบจบผ่านบทความนี้
เริ่มจากดูสัดส่วนของผู้ถือหุ้นใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัดกันก่อน
- กลุ่มตระกูลโทณวณิก นำโดย ชนินทธ์ โทณวณิก (ลูกชายคนโต) ถือหุ้น 25.4%
[ * กลุ่มตระกูลเธียรประสิทธิ์ นำโดยสินี เธียรประสิทธิ์ \(ลูกสาวคนกลาง\) ถือหุ้น 26.57% , * กลุ่มตระกูลสาลีรัฐวิภาค นำโดยสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค \(ลูกสาวคนเล็ก\) ถือหุ้น 21.62% ]
โดย ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ (ลูกชายคนโต) และ น้องสาวสองคน (‘สินี เธียรประสิทธิ์’ และ ‘สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค’) ถือหุ้นในจำนวนใกล้ๆ กัน แต่เมื่อน้องสาวสองคนร่วมมือกันทำให้มีอำนาจในบริษัทมากกว่า ‘ชนินทธ์’
ซึ่งความตึงเครียดปรากฏชัดในการประชุมสามัญประจำปี 2568 เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่รับรองงบการเงินประจำปี 2567 เนื่องจากไม่พอใจที่บริษัทขาดทุนต่อเนื่องและไม่มีการจ่ายปันผล แม้จะมีความกังวล แต่บริษัทสามารถยื่นงบการเงินไตรมาส 1/2568 ได้ทันกำหนด และผู้ถือหุ้นได้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีแล้ว ทำให้หุ้น DUSIT ยังคงซื้อขายได้ตามปกติ
และ ดุสิตธานียังมีจำนวนกรรมการอิสระเพียงพอต่อการบริหารงาน และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด
แล้วเรื่องก็ค่อยๆ เงียบไป…
ล่าสุดวันนี้ (27 ส.ค. 2568) ดราม่าเดือดของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เกิดขึ้นอีกครั้งหลัง ‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ (ลูกชายคนโต) ได้ออกมาแถลงกับสื่อมวลชนว่าตัวเองกำลังถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการ โดยคำสั่งจากน้องสาวทั้งสองคน พร้อมทั้งได้กล่าวว่าเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ได้พยายามเข้ามาแทรกแซงธุรกิจของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ด้วย
[ ครอบครัวทะเลาะกันเรื่องมรดก ‘ชนินทธ์’ โดนน้องสาวปลดจากกรรมการ ]
‘ชนินทธ์ โทณวณิก’ (ลูกชายคนโต) บอกว่า จุดเริ่มต้นของปัญหา เริ่มขึ้นหลังจากการจากไปของคุณแม่ (ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย) โดย ‘ชนินทธ์’ ซึ่งเคยเป็นผู้ลงนามหลักในการดูแลกิจการ ได้ถูกน้องทั้งสองคนใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ และปลดเขาออกจากตำแหน่งกรรมการในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงบริษัทอื่นๆ ในกองมรดกทั้งหมด
ในช่วงโควิด ‘ชนินทธ์’ และน้องทั้งสองคนเคยตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน โดย ‘ชนินทร์’ จะได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด แต่ภายหลังน้องทั้งสองได้เปลี่ยนใจ ‘ชนินทร์’ เชื่อว่าการตัดสินใจนี้มาจากความสำเร็จของโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส
ซึ่งชนินทธ์มองว่าการกระทำของน้องๆ ได้ขยายมาถึง บมจ. ดุสิตธานี โดยก่อนหน้านี้มีการไม่อนุมัติงบการเงินทั้งที่ไม่มีปัญหา และล่าสุดก็พยายามจะถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งเพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งอาจเป็นการเปิดทางให้ คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการ และสร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย
[ ความพยายามแทรกแซงโดยกลุ่มเซ็นทรัล แต่เซ็นทรัลออกมาปฏิเสธ ไม่จริง ]
‘ชนินทร์’ บอกว่าสิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงกรรมการครั้งนี้มีลักษณะไม่ปกติ คือ มีการเสนอชื่อกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล มีการเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจลงนามจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอกที่ไม่มีความคุ้นเคยกับดุสิตธานี มีความพยายามที่จะขายหุ้นของบริษัท ชนัตถ์และลูก ให้คนนอก ทั้งที่ข้อบังคับบริษัทระบุห้ามไว้
และเขายังบอกอีกว่ากลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.ดุสิตธานีหลายครั้ง และเคยซื้อหุ้นถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบจนต้องไปเจรจาขอให้ขายหุ้นออก เนื่องจากธุรกิจมีความทับซ้อนกัน
ซึ่งล่าสุด ‘ชนินทธ์’ ได้รับทราบว่าน้องสาวทั้งสองได้มีการหารือกับกลุ่มเซ็นทรัลเพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งเขามองว่าอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อเข้าควบคุมกิจการดุสิตธานี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้ซื้อโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส
ปัจจุบัน โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ใกล้แล้วเสร็จ โดยโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ได้รับการตอบรับดีเยี่ยม และโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส มียอดขายแล้วกว่า 92% ซึ่งจะช่วยปลดภาระหนี้และสร้างกำไรอย่างมหาศาลในปีหน้า
ซึ่งจากข่าวนี้ทำให้ทางเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ได้ออกมาแถลงปฏิเสธข่าวที่พยายามแทรกแซงดุสิตธานี และระบุว่า ริษัทฯ ได้รับโอกาสในการร่วมลงทุน และเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับดุสิตธานีในการพัฒนาโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งใช้งบลงทุนมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โครงการดำเนินการพัฒนาด้วยดีมาโดยตลอด ซึ่งในส่วนของโรงแรมและอาคารสำนักงานได้เปิดดำเนินการแล้ว และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค กำลังจะเปิดให้บริการในวันที่ 4 กันยายน 2568 นี้
ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนาถือหุ้นในดุสิตธานีจำนวน 145,238,320 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 17.09 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของดุสิตตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งที่ผ่านมาเซ็นทรัลพัฒนา เคารพในการบริหารงานของผู้ถือหุ้นใหญ่ และสนับสนุนการดำเนินงานด้วยดีมาโดยตลอด
[ ชนินทธ์ย้ำถึงเจตนารมณ์ทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ]
อย่างไรก็ตาม ‘ชนินทธ์’ ยืนยันว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัวเพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เป็นการ ปกป้องดุสิตธานีจากถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม
และได้ย้ำถึงเจตนารมณ์ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ที่ต้องการให้ดุสิตธานีเป็นแบรนด์ไทยที่เชิดชูวัฒนธรรมไทย และยึดมั่นในหลักการ “Business with Honor” หรือการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร ซึ่งท่านต้องการให้ครอบครัวเป็นผู้ดูแลและรักษาบริษัทไว้ต่อไป
ความขัดแย้งในครอบครัวโทณวณิกที่ ‘ชนินทธ์’ ถูกปลดจากตำแหน่งและกล่าวหาว่ากลุ่มเซ็นทรัลพยายามแทรกแซง (แม้เซ็นทรัลปฏิเสธ) สะท้อนว่าธุรกิจครอบครัวหากขาดข้อตกลงอำนาจที่ชัดเจน อาจเปิดช่องให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงและกระทบเสถียรภาพองค์กร
ต้องมาติดตามกันต่อว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร…