จากสมรภูมิรบสู่จอมือถือ เมื่อใคร ๆ ก็ร่วมสงคราม ผ่านข้อมูลข่าวสารได้
การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ได้มีแต่ในสมรภูมิรบภาคพื้นดินเท่านั้น แต่ยังลามมาสู่ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” บนโซเชียลมีเดีย
กลายเป็นการสู้รบที่ไม่จำเป็นต้องมีอาวุธปืน แต่สาดใส่กันด้วยข้อมูล ทั้งข่าวจริง และข่าวปลอม
จนใคร ๆ ก็สามารถเป็น “นักรบออนไลน์” ได้อย่างง่ายดาย
สงครามข้อมูลข่าวสารคืออะไร ?
NATO ระบุว่า สงครามข้อมูล หรือ Information Warfare คือยุทธศาสตร์ที่มุ่งสร้างความได้เปรียบเหนือฝ่ายตรงข้าม ด้วยการควบคุมและปกป้องข้อมูลของตนเอง และโจมตีฝ่ายตรงข้าม โดยใช้ข้อมูลบิดเบือน หรือ Disinformation เป็นเครื่องมือทำลายความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย
ผศ.ดร. เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แบ่งประเภทข้อมูลบิดเบือน หรือ Disinformation ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่
Misinformation คือ ข้อมูลบิดเบือน ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผลเสีย เช่น ภาพล้อเลียนต่าง ๆ
Malinformation คือ ข้อมูลจริง แต่มุ่งประสงค์ร้ายเมื่อเผยแพร่ เช่น คลิปเสียงหลุด
Disinformation คือ ข้อมูลบิดเบือน และมุ่งประสงค์ร้าย เช่น ภาพตัดต่อว่าเครื่องบินไทยปล่อยอาวุธเคมี
จากสมรภูมิรบ สู่แนวรบออนไลน์
นอกจากการปะทะภาคพื้นดินแล้ว ยังมีการปล่อยข้อมูลข่าวสารบนโซเชียลมีเดีย ทั้งจากฝั่งพลเรือน และรัฐบาลเอง พฤติกรรมเหล่านี้ ถือว่า เข้าข่าย “สงครามข้อมูลข่าวสาร” หรือไม่
“เราเห็นเรื่องของ Journalism Warfare หรือเปล่า แน่นอนเห็นครับ เห็น ๆ เลยว่า มีการใช้ข้อมูลข่าวสาร มาโจมตี, ทำลายความน่าเชื่อถือ และสร้างการจดจำให้กับตัวเองด้วย คือ ไม่ได้มีแค่เรื่องโจมตีฝั่งตรงข้าม แต่มันก็สร้าง Visibility กับให้กับตัวเองด้วย หนําซ้ำ เรายังเห็นการโจมตีทางไซเบอร์ด้วย เช่น การเข้าไปแฮกฐานข้อมูลต่าง ๆ ทั้งทางเพจ, เว็บไซต์ทางการ” ผศ.ดร. เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
ผศ. ดร. เจษฎา กล่าวด้วยว่า สงครามข้อมูลข่าวสารยุคปัจจุบัน ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถร่วมรบในสงครามได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปสนามรบ
“เมื่อก่อน เราอาจจะต้องไปสมรภูมิถึงจะรบได้ อาจต้องมีการฝึกทหาร ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าความน่าสนใจคือ สงครามพอมันกลายเป็น Information Warfare มันสามารถดึงทุกคน เข้ามามีส่วนร่วมในการทําสงครามได้” ผศ. ดร. เจษฎา กล่าว
ข่าวปลอม-Hate Speech สร้างเงินได้
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น เมื่อสงครามข้อมูลข่าวสารในยุคนี้ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ เครื่องมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แต่มันกลับสร้างรายได้ให้ได้อีกด้วย
ข้อมูลงานวิจัยบนเว็บไซต์ The Conversation ระบุว่า คอนเทนต์บิดเบือน ข่าวปลอม เป็นส่วนหนึ่งของโมเดลธุรกิจแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เนื่องจาก แพลตฟอร์มเหล่านี้ มีรายได้หลักมาจากโฆษณา ยิ่งเนื้อหาไหน มียอดวิว ยอดไลก์เยอะ ก็จะดึงดูดเม็ดเงินจากโฆษณาได้มาก
เนื้อหาที่ได้รับความสนใจมากสุด เป็นเนื้อหาประเภทสร้างความปั่นป่วน, ตกใจ หรือ สะเทือนอารมณ์ต่อสังคม โดยไม่สนว่า เนื้อหาดังกล่าว จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะดึงดูดความสนใจต่อผู้คน
แพลตฟอร์มจึงออกแบบระบบมาเพื่อโปรโมตเนื้อหาประเภทนี้ ทำให้ข่าวปลอม, ทฤษฎีสมคบคิด, และคำพูดที่สร้างความเกลียดชังแพร่กระจายได้ดีเป็นพิเศษ
พูดง่าย ๆ คือ ยิ่งคอนเทนต์มียอดไลก์ ยอดแชร์มากเท่าไหร่ ก็จะสร้างรายได้ให้กับเรามากขึ้นเท่านั้น จนส่งผลให้เกิดการแข่งขันสร้างเนื้อหา เชิงข่าวปลอม หรือ ยั่วยุ มากขึ้นในกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อดึงดูดคนให้ได้มากที่สุด สร้างรายได้ให้กับเรามากขึ้นเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เอเจนซี่โฆษณา มักจะใช้ระบบอัตโนมัติซื้อโฆษณา และอาจทำให้โฆษณาของพวกเขา เข้าไปปรากฎบนข่าวปลอมต่าง ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากนี้ บริษัทแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเอง ก็รู้ดีว่า เนื้อหาบิดเบือนต่าง ๆ ทำกำไรให้กับพวกเขาได้ แต่ก็เลือกที่จะปล่อยให้อยู่บนแพลตฟอร์มต่อไป โดยไม่มีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสม
สื่อควรรายงานข่าวความขัดแย้งอย่างไร
เมื่อความขัดแย้งยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง และยังมีวี่แววจะจบลงโดยเร็ว เราจะมีวิธีการรายงานข่าวบนความขัดแย้งอย่างไร เพื่อไม่ให้เผยแพร่กระจาย Fake News เพิ่ม หรือ สร้างความเกลียดชัง
ผศ.ดร. เจษฎา กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า การรายงานข่าวความขัดแย้งระหว่างสื่อไทยและกัมพูชา โดยต้องวางตัวเป็นกลาง เข้าใจว่า ทำได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อมีเรื่องชาติเขามาเกี่ยวข้อง
“การรายงานข่าวจะต้องไม่ผลักดันไปสู่ความคลุ้มคลั่ง หรือ ว่าการเกิดการลดทอนความเป็นมนุษย์ หรือทําให้คนมองอีกฝั่งหนึ่งว่า ‘ไม่ใช่คน’ เพราะว่าอย่าลืมว่า ก่อนที่เราจะเป็นชาติ เราเป็นคนด้วย”
“สื่อไม่ควรผลักดันคนไปอยู่จากความขัดแย้งไปสู่ความรุนแรง ไม่ควรเผยแพร่ Hate Speech แล้วการนําเสนอ อย่าลืมว่า สงครามเราไม่สามารถจะนําเสนอแบบกีฬาได้ เอามัน เอาแพ้ชนะ ตอนนี้ได้กี่แต้มแล้ว ให้คนมาลุ้นกัน เราไม่ควรเล่นกับอะไรแบบนี้ เพราะมันจะทําให้ความเสียหายเกิดขึ้น”
“ในยุคที่ใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ สื่อมืออาชีพยิ่งต้องทําให้เห็นว่า คุณไม่ใช่ใคร ๆ ที่เป็นสื่อได้ คุณต้องใช้โอกาสนี้ สร้างให้เห็นว่า นี่คือความเป็นมืออาชีพของคุณ มันแตกต่างจากใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ ด้วยการตรวจสอบข้อมูลให้ดี ยิ่งข้อมูลข่าวสารมันเยอะแบบนี้ คุณยิ่งต้องตรวจสอบข้อมูลให้ดี” ผศ.ดร. เจษฎา กล่าว
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
บทสัมภาษณ์ ผศ.ดร. เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2568
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ตำรวจไซเบอร์จี้กัมพูชา “จริงใจ” ช่วยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
- ICRC ไม่ชี้ถูกผิด เน้นช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามมาตรฐานสากล
- กระทรวงการต่างประเทศของไทย นำคณะทูตลงพื้นที่ดูความเสียหายที่ จ.ศรีสะเกษ พร้อมสำรวจแนววางทุ่นระเบิดของกัมพูชา
- สงครามยุคใหม่ “โดรน” สู่อาวุธทรงพลัง พลิกโฉมสมรภูมิรบ
- ทบ.ย้ำกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิด PMN-2 โจมตีไทย พาทูตลงพื้นที่พิสูจน์