น้ำตาซึม “ต่าย อรทัย” เล่าชีวิตที่เกือบไม่ถึงฝัน ถ้าไม่เป็นนักร้องก็คงเป็นสาวโรงงาน
เปิดหมดเปลือก ต่าย อรทัย ศิลปินลูกทุ่งชื่อดังในรายการ เบิ้ล AM เล่าเส้นทางชีวิตและการทำงานในวงการเพลง จากสาวโรงงานสู่ตำนานดอกหญ้าในป่าปูนที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลาย เคยทัวร์หนักจนต้องแอดมิต รพ. รวมถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งกับคุณยายที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในชีวิต ก่อนจะก้าวสู่ศิลปินที่คนทั้งประเทศรัก
ต่าย เผยว่า "พื้นเพพี่ต่ายเป็นคนบ้านคุ้มแสนชะนี ต.พรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี บ้านติดชายแดนเลย เรื่องร้องเพลง ตอนอยู่ประถมเลย ช่วงประมาณ ป.5 ป.6 เวลากิจกรรมนักเรียนช่วงว่าง ครูก็จะรู้ว่าพี่ต่ายร้องเพลงได้ ท่านก็จะบอกออกมาร้องให้เพื่อนฟังหน่อย ในหมู่บ้านก็จะชื่นชมว่าเราเสียงดี ครูก็จะได้ยินแล้วก็ให้ออกมาทำกิจกรรมประมาณนี้แหละ ซึ่งเราก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความมั่นใจนะ แต่ว่าในเรื่องของการร้องเพลงมั่นใจสุด มากกว่าเรื่องอื่นๆ แต่เราไม่ได้เดินสายประกวด แต่ว่าพยายาม ใช้คำว่าพยายามยามแล้วกัน เพราะว่าทางบ้านมันก็จะไม่ค่อยมีเวทีให้เราไปแสดงความสามารถ หรือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ แล้วบ้านก็อยู่ชายแดนด้วย เวทีประกวดมันจะอยู่ในเมืองส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์เราก็จะไม่มีโอกาสเพราะเราก็ต้องไปโรงเรียน มาเริ่มจริงๆ ตอนมัธยมแล้ว แต่ตอนประถมมีแค่ร้องกิจกรรมในโรงเรียนเท่านั้น ม.ต้นจำได้ว่ามันมีบุญผ้าป่าอยู่บ้านโนนแดง แล้วก็มีคณะหมอลำ เราก็ไปร่วมบุญผ้าป่าปกติ แล้วเราก็อยากไปร้องเพลง เขาก็กำลังเฟ้นหานักร้อง อยากได้นักร้องไปเดินสายด้วยในวง เราก็ไปลองแต่ว่าก็ไม่ได้ชนะหรอก แล้วก็มาเริ่มประกวดจริงจังคือเป็นตัวแทนของโรงเรียนนาจะหลวย แล้วก็ไปเป็นปีแรกประมาณ ม.4 ไปปีแรกแพ้ ปีที่ 2 ก็ไปอีกเป็นตัวแทนอีกก็ยังแพ้อีก แล้วปีที่ 3 เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ชนะ สุดของความดีใจมากๆ ซึ่งปีแรกปีที่สองที่เราไปประกวดได้เจอ ดอกอ้อ ทุ่งทอง ด้วย"
"ไอดอลของพี่ สมัยก่อน เราจะได้ฟังเพลงส่วนใหญ่ก็เป็นวิทยุ ที่ฟังแล้วรู้สึกแบบชื่นชอบมากๆ ก็จะเป็นเสียงของ แม่ฮันนี่ ศรีอีสาน น้ำตาหล่นบนที่นอน นั่นแหละ ทำไมเสียงดีจัง ด้วยความที่เพลงมันดังด้วย ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากเป็นนักร้องคือแม่ฮันนี่ แล้วก็มีพี่จินตหรา มีพี่นาง ศิริพร ที่เพลงดังๆ ก็จะได้ยินตั้งแต่เด็กมาตลอด แต่ที่มาเป็นนักร้องจริงๆ จังๆ ปลายปี 44 พี่ต่ายเริ่มเข้าแกรมมี่แล้ว เพลงดอกหญ้าในป่าปูน มันปล่อยช่วงปี 2546 ตอนเป็นศิลปินฝึกหัด ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะว่าครูเอง ค่ายเอง ผู้ใหญ่ หรือทีมงาน ไม่มีใครบอกเราได้สักคนเลย แต่เพียงแค่เรามีความรู้สึกว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง อยู่ดีๆ แล้วได้เข้ามา ต่อให้ไม่ดังก็ตาม แต่ได้รับโอกาสแบบนี้ สมัยนั้นโทรศัพท์ก็ยังไม่มี และก็ยังไม่ได้มีรายได้ ต้องหยิบยืมผู้จัดการ หรือว่าค่ายแบบซัพพอร์ตเราก่อนแล้วก็มาคืนที่หลัง สู้ไปก่อน เขาให้ไปเรียน พี่ต่ายก็ไป กลับมาห้องนอนร้องไห้ทุกวัน คิดถึงยาย (น้ำตาซึม) ทั้งเป็นศิลปินฝึกหัดไปด้วย แล้วก็ต้องทำอัลบั้มเพลงให้เสร็จใน 1 ปีนั้น"
ต่าย เล่าต่อว่า "ถามว่าถ้าไม่เป็นนักร้อง วันนี้จะเป็นอะไร ไม่รู้เลย เพราะว่าก็ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด หมายถึงการจัดระเบียบในความคิดหรือแผนชีวิตอะไรต่างๆ มันก็ยากอยู่นะ พ่อแม่เราลูกชาวไร่ชาวนา เขาก็ไม่ได้มีชุดความคิดแผน 1 แผน 2 แผน 3 ให้เรา รู้แค่ว่าเรียนต่ออยู่เมืองอุบลไม่ได้ มันก็ต้องมาสู้งานในกรุงเทพฯ แค่นั้น แล้วงานอะไรล่ะ เราจบเพียงแค่ ม.6 ตอนนั้น ก็คือมาทำงานโรงงาน เป็นสาวโรงงานมาก่อน พี่ต่ายถึงได้แบบรู้สึกเข้าใจเวลามีกิจกรรมไปโรงงาน จะคิดถึงตลอดเพราะว่าหลายเดือนที่อยู่ตรงนั้น คือเราเข้าใจความยากลำบาก อยู่ห้องเช่า แล้วเรามีความรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้เป็นนักร้อง ก็อาจจะยังทำงานอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักร้องก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวยังเป็นสาวโรงงานอยู่ก็ได้แค่นั้นเอง เรื่องความรัก สเปกไม่มีเลย เอาจริงๆ แต่เคยมีก็หลายปีแล้วที่พี่ต่ายเลิก อันนั้นก็มีลงโซเชียลแต่แค่เราไม่ได้ลงว่ากับใคร เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปเปิดเผยเรื่องส่วนตัว"
"เรามียายเป็นกำลังใจ เยอะเลย เพราะว่าพ่อกับแม่เขาแยกกันตอนพี่ต่ายอายุ 11-12 ปี คือก็เด็กมาก แล้วเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น มีคำถามในหัวมากมาย ทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมพ่อกับแม่ต้องเลิกกัน แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้คำตอบหรอก ตั้งแต่พี่ต่ายจำความได้ก็เห็นคุณยายเลย พอพ่อกับแม่เลิกกันปุ๊บไปกลายเป็นคุณยายมาตลอดจนถึงวันสุดท้ายที่ยายจากไป มันก็คือมียายทั้งชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราลืมพ่อแม่นะ เรามีชีวิตที่อบอุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ทิ้งลูกหรอก เพียงแค่ว่าเราแค่ขาดความอบอุ่นที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยแค่นั้นเอง เขาก็ใช้การดูแลโดยวิธีอื่น แต่จริงๆ ก็ไม่เคยขาดจากความรักของยาย ของป้า ของลุง ของญาติๆ ที่อยู่รอบข้าง พี่ต่ายคิดว่ายายเอย ครอบครัวเอย ที่อยู่ข้างๆ น่ะ คือทุกคนคอยหล่อหลอม ไม่ให้เราหลุดก็เลย ยายนี้คือพอจะพูดถึงพี่ต่าย (เสียงสั่นน้ำตาซึม) เป็นแบบนี้ตลอด สิ่งที่ทำต่ายอยู่มาถึงวันนี้ รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เราคนเดียว มันมีหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบถึงทำให้มีชื่อต่าย มีเส้นทางที่มันยาวมาได้ขนาดนี้ อันดับแรกมันคือโอกาส มันคือเรื่องเล่าในชีวิต แม้แต่ตัวเราเอง แล้วก็เรื่องราวของผลงานเพลงที่มันตอบโจทย์ ครูบาอาจารย์ ทีมงานทุกคน คนที่สนับสนุนเรา อยากให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นทุกๆ ส่วนเลย รู้สึกว่าถ้าไม่มีคนเหล่านั้น ยากเลยที่จะมีเราในวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำของทุกคนที่ติและชมมาตลอด ที่ยังอยากให้เราอยู่ตรงนี้นานๆ"