สงสัยมั้ย! ‘มันเทศ-ฟักทอง’ อาหารคลีนตัวจริง แต่ทำไมถึงทำให้คุณเป็น ‘ไขมันพอกตับ’ ได้ไม่รู้ตัว!
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ภาพข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “หมอเจด” ระบุว่า มันเทศ ฟักทอง ดูเฮลท์ตี้ แต่กินแล้วเป็นไขมันพอกตับ
1.หลายคนคงเคยเห็นข่าว ผู้หญิงวัยเกือบ 60 ปี ที่ใส่ใจสุขภาพสุด ๆ ไม่อ้วน ไม่กินของมัน ไม่แตะของหวาน ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กินแต่มันเทศนึ่งกับฟักทองนึ่ง เป็นหลักแทบทุกมื้อ เช้า กลางวัน เย็น เรียกว่า “สายคลีนตัวจริง”
หมอเจด เตือน มันเทศ-ฟักทอง ดูเฮลท์ตี้ แต่กินแล้วไขมันพอกตับ เพราะอะไร หลังหญิงวัย 60 ใส่ใจสุขภาพ สายคลีนตัวจริง แต่ต้องช็อกหลังรู้ผลตรวจสุขภาพ
หมอเจด เตือน มันเทศ-ฟักทอง ดูเฮลท์ตี้ แต่กินแล้วไขมันพอกตับ เพราะอะไร หลังหญิงวัย 60 ใส่ใจสุขภาพ สายคลีนตัวจริง แต่ต้องช็อกหลังรู้ผลตรวจสุขภาพ
แต่ผลตรวจสุขภาพกลับออกมาว่าเธอเป็นไขมันพอกตับระดับปานกลาง ฟังแล้วหลายคนถึงกับอึ้ง คนก็ทักมาถามนะ “จริงเหรอ กินมันเทศ ฟักทองเยอะ ๆ ทำให้เป็นไขมันพอกตับได้” เดี๋ยวเล่าให้ฟังนะ
2.ไขมันพอกตับไม่ใช่เรื่องของ “คนอ้วน” อย่างเดียว
เวลาได้ยินคำว่า ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) หลายคนจะนึกถึงคนอ้วน ชอบกินหมูกรอบ ชานมไข่มุก หรืออาหารมัน ๆ หวาน ๆ แต่จริง ๆ แล้ว คนผอมก็เป็นได้ โดยเฉพาะถ้ากินอาหารบางอย่างในปริมาณมากเกินไป หรือซ้ำเดิมจนขาดสมดุล ภาวะไขมันพอกตับ คือการที่มีไขมัน สะสมในเซลล์ตับเกินกว่า 5% ของน้ำหนักตับ
ถ้ามีเล็กน้อย ตับยังทำงานได้ตามปกติ
ถ้ามากขึ้น → ตับอักเสบเรื้อรัง
ระยะยาว → ตับแข็ง → เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับ
สิ่งที่ทำให้คนเข้าใจผิดคือ “คิดว่าไม่อ้วนก็ปลอดภัย” แต่จริง ๆ กลไกที่ทำให้ไขมันไปสะสมในตับ ไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่างอย่างเดียว มันเกี่ยวกับ การเผาผลาญน้ำตาลและแป้งของร่างกายด้วย
3.ทำไมมันเทศกับฟักทอง ถึงพาไปถึงไขมันพอกตับได้
นี่แหละครับ ประเด็นที่หลายคนงงหนัก เพราะเวลาเรานึกถึงมันเทศหรือฟักทอง เราจะคิดถึงภาพ อาหารสุขภาพ
- ไม่ทอด
- ไม่มัน
- ไม่หวานจัด
- มีไฟเบอร์
- วิตามินก็สูง
แต่ปัญหาคือ ทั้งสองอย่างนี้จัดว่าเป็นแป้งที่มี “ดัชนีน้ำตาล (GI)” ค่อนข้างสูง
- มันเทศ GI อยู่ราว ๆ 60-80 (แล้วแต่พันธุ์และวิธีทำ)
- ฟักทอง GI ราว ๆ 65-75
เวลากินเข้าไป ร่างกายจะย่อยแป้งเหล่านี้เป็น กลูโคส ค่อนข้างเร็ว ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
พอน้ำตาลขึ้น → ตับอ่อนหลั่งอินซูลิน → อินซูลินสั่งให้เซลล์เก็บพลังงานส่วนเกินไว้ → ถ้าใช้ไม่หมด ตับก็จะเปลี่ยนน้ำตาลเหล่านี้เป็น ไขมัน แล้วสะสมไว้ในตับ
4.จุดพลาดที่เธอไม่รู้ตัว
กรณีของผู้หญิงวัย 60 คนนี้ จริง ๆ แล้วไม่ได้ผิดที่เลือกอาหารเฮลท์ตี้หรอกครับ แต่พลาดตรง
- กินซ้ำเกินไป → อาหาร 2–3 อย่างแทนทุกมื้อ ไม่มีความหลากหลาย ร่างกายเลยได้สารอาหารไม่ครบ และตับต้องรับแป้งแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ
[* ไม่บาลานซ์โปรตีน\-ผัก → มันเทศกับฟักทองเป็นแป้ง แต่ไม่ได้เสริมโปรตีน \(เช่น ปลา ไข่ เต้าหู้\) หรือผักใบเขียวที่จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล , * อายุและการเผาผลาญ → พออายุใกล้ 60 ระบบเผาผลาญช้าลง ฮอร์โมนเปลี่ยน อินซูลินก็อาจดื้อขึ้น ตับเลยเก็บไขมันง่ายกว่าเดิม , * เข้าใจผิดเรื่องสุขภาพ → คิดว่า “ไม่อ้วน ไม่กินมัน ไม่กินหวานจัด” = รอดโรค แต่จริง ๆ อาหารแป้งที่กินมากไปก็ทำให้พังได้เหมือนกัน ]
จะว่าไปก็เหมือนการตั้งใจเกินไปจนกลายเป็นสุดโต่ง นั่นแหละครับ → แทนที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ กลายเป็นเสียสมดุลโดยไม่รู้ตัว
5.สุดท้ายแล้ว เราควรกินยังไงให้ปลอดภัย?
ข่าวนี้ไม่ได้แปลว่า “ห้ามกินมันเทศกับฟักทอง” นะครับ เพราะจริง ๆ แล้วทั้งคู่มีประโยชน์มาก มีไฟเบอร์สูง วิตามินเพียบ เป็นคาร์บที่ดีกว่าขนมปังขาวหรือข้าวขาวด้วยซ้ำ แต่กุญแจสำคัญคือ ความพอดีและความหลากหลาย
- กินให้หลากหลาย อย่าเอาอาหาร 1-2 อย่างมาทดแทนทุกมื้อ
[ * เพิ่มโปรตีน เช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ ถั่ว จะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล , * เสริมผักใบเขียว เพื่อไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ , * ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะได้ใช้พลังงานจากแป้ง ไม่ให้ตับเก็บเป็นไขมัน , * ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะอัลตราซาวนด์ตับและตรวจค่าเอนไซม์ตับ ]
สุดท้ายนี้การดูแลสุขภาพไม่ได้แปลว่าต้องกินเคร่งครัดสุดโต่ง แต่คือการทำให้ สมดุลและยืดหยุ่น จะกินมันเทศ ฟักทองก็ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งสามมื้อทุกวัน เพราะสุขภาพที่ดีไม่ใช่การ “ทำดีที่สุดแบบสุดโต่ง” แต่คือการ “ทำได้เรื่อย ๆ แบบสมดุล” ครับ