“เท้ง ณัฐพงษ์”ติดตามผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา เร่งรัฐเยียวยาทั่วถึง
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่พร้อมกรรมาธิการการทหาร กรรมาธิการการต่างปรเทศ ที่ตำบลสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์รับฟังปัญหาของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เพื่อประสานงานให้ได้รับการช่วยเหลือโดยเร็วและการเยียวยา
นายณัฐพงษ์ บอกว่า คนที่ลำบากที่สุดคือ ประชาชน และคนที่เหนื่อยที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างาน ส่วนอีกเรื่องคือ อยากให้รัฐบาลจัดหายุทโธปกรณ์ที่สามารถสกัดกั้น ทำลายกระสุนปืนใหญ่ อุปกรณ์แอนตีโดรนจากฝ่ายตรงข้าม รวมถึงหลุมหลบภัย จากนั้นมีการเปิดโอกาสให้ผู้นำชุมชน และชาวบ้านได้สะท้อนปัญหาและความต้องการ
ตัวแทนกำนันผู้ใหญ่บ้าน สะท้อนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมีทั้งเรื่องเงินเยียวยาที่ยังไม่ชัดเจน ว่าจะให้กลุ่มเปราะบาง หรือใครบ้าง รวมถึงอยากให้สนับสนุนเครื่องกระสุน เสื้อเกราะ และค่าตอบแทนกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพราะต้องเสี่ยงชีวิต
ส่วนตัวแทนชาวบ้าน เสนอว่า อยากให้ทบทวนมาตรการเยียวยา ชาวบ้านทำมาหากินลำบาก แถมสภาพชีวิตก็ย่ำแย่ เพราะหวาดระแวงไปหมด แค่เสียงฟ้าร้อง เสียงปิดประตู ก็ตกใจนึกว่าเสียงปืน
นอกจากนี้ ระบบลงทะเบียนเยียวยาครัวเรือนละ 3,000 บาท ยังมีความซับซ้อน ต้องเสียเงินค่าเอกสารในการเขียนคำร้องขอรับเงินเยียวยาอีกด้วย
นายณัฐพงษ์ เปิดเผยว่า ได้เห็นว่าข้าราชการผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ยังต้องการการสนับสนุนอีกหลายเรื่อง คนในพื้นที่ยังมีความเครียดและวิตกกังวล และได้เห็นปัญหาจากการชดเชยเยียวยา ยิ่งเมื่อได้เห็นแบบฟอร์มการเยียวยาแล้วก็ยิ่งเข้าใจว่าทำไมประชาชนถึงได้รับการเยียวยาล่าช้า เพราะทั้งหมดเป็นการใช้กลไกปกติของกระทรวง เช่น ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่พุ่งเป้าตามระเบียบราชการปกติที่เน้นเฉพาะกลุ่มเปราะบาง แต่การแก้ปัญหาจากเหตุปะทะชายแดนครั้งนี้ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยวิธีคิดแบบรัฐสงเคราะห์ แต่ต้องพุ่งเป้าแบบถ้วนหน้า ทุกคนที่จังหวัดชายแดน ทั้งผู้ที่ต้องอพยพและผู้ที่ไม่ได้อพยพไม่มีใครไม่เดือดร้อน ประชาชนต่างมีความเดือดร้อนคนละแบบ ทั้งคนที่บ้านเรือนเสียหาย ปศุสัตว์ล้มตาย ออกกรีดยางไม่ได้ ฯลฯ จะให้กรอกแบบฟอร์มให้รัฐประเมินทุกคนก็ย่อมล่าช้า
“ดังนั้น เงินเยียวยาพื้นฐานรัฐควรต้องให้เลยโดยไม่ต้องพิสูจน์เพราะทุกคนเดือดร้อนด้วยกันหมด รัฐมีกลไกเครื่องมืออยู่แล้ว เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัลที่เคยผ่านการแจกมาแล้วบางส่วน นำมาใช้เป็นเครื่องมือให้เกิดประสิทธิภาพ อย่างน้อยแก้ปัญหาให้คน 80-90% ก่อน ส่วนที่เหลือจากการเยียวยาพื้นฐาน ทั้งส่วนที่พิสูจน์ไม่ได้หรือต้องพิสูจน์เพิ่ม รัฐสามารถเยียวยาตามหลังได้”นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งนี้กลไกราชการในพื้นที่ไม่มีอำนาจที่จะไปปรับได้ คนที่มีอำนาจและต้องไปปรับก็คือรัฐบาล ระเบียบกระทรวงต่างๆ ล้วนอยู่ที่ส่วนกลาง นี่คือสิ่งที่วันนี้ สส. สามารถช่วยได้ ในการผลักดันให้เกิดการปรับปรุงระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเยียวยา ซึ่งตนและเพื่อน สส. ที่มารับฟังประชาชนในวันนี้ พร้อมที่จะนำเสียงสะท้อนเหล่านี้ไปสะท้อนให้รัฐบาลรับฟังต่อไป
หลังจากได้ฟังเสียงสะท้อนปัญหาของชาวบ้าน นายณัฐพงษ์ กล่าวย้ำว่า คนชายแดนควรได้รับเงินเยียวยาถ้วนหน้า เพราะทุกคนเดือดร้อน ตนเชื่อว่ารัฐบาลมีเครื่องไม้เครื่องมืออยู่แล้ว ถ้าออกแบบระบบดี สามารถแก้ไขปัญหาได้ และตนจะนำเสียงสะท้อนนี้กลับไปให้รัฐบาลฟัง เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน