‘ดร.สุวินัย’ ชี้ ไทยเสี่ยงมากต่อการเป็นรัฐล้มเหลว เหตุสถาบันการเมือง – ศก. เสื่อมถอยปล่อย "ทุนเทา" ครอบงำ
เมื่อวันที่ (18 ส.ค. 68) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ไทยเสี่ยงมากต่อการเป็นรัฐล้มเหลว: มุมมองเชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง
1. นิยามและสัญญาณของ “รัฐล้มเหลว”
รัฐล้มเหลว (failed state) มิได้หมายถึงการพังทลายของดินแดน หากหมายถึง ความไร้สมรรถภาพของรัฐ ในการทำหน้าที่หลัก 3 ประการคือ
1) รักษาความมั่นคงและกฎหมาย
2) จัดบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน
3) บริหารเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ
เมื่อรัฐไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ สังคมย่อมเข้าสู่ “ดุลยภาพต่ำ” ที่ทุนดีถอยออกไป เหลือเพียงทุนเทาและทุนผิดกฎหมายที่ครองอำนาจ
2. จุดพลิกผันเชิงเศรษฐกิจหลังปี 2562
> ระหว่างปี 2559–62 เศรษฐกิจไทยเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว:
การลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะในเขต EEC
การส่งออกและภาคเกษตรเริ่มฟื้น
มีการรื้อระบบกองทุนและสัมปทานที่เคยเป็นช่องทางทุจริต
> แต่หลังปี 2563 เป็นต้นมาบริบทกลับพลิกผัน:
นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน ขณะที่ทุนเทา (จีนเทา, เขมรเทา) เข้ามาแทน
โครงสร้างการอนุญาตและบอร์ดรัฐวิสาหกิจถูกยึดครองโดยกลุ่มผลประโยชน์
โครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ถูกเบี่ยงไปตอบสนองเครือข่ายทางการเมือง
นี่คือ การเสื่อมถอยของทุนทางสถาบัน (institutional capital) ที่ทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาโลก
3. วงจรคอร์รัปชันกับทุนเทา
ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมือง เมื่อรัฐถูกครอบงำโดย “กลุ่มผลประโยชน์” จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า state capture
คือ กฎหมายและนโยบายถูกออกแบบเพื่อเอื้อทุนเทามากกว่าทุนขาว
ผลที่ตามมา:
> รายได้รัฐรั่วไหลไปยังธุรกิจผิดกฎหมาย (พนันออนไลน์ ยาเสพติด โรงงานผิดกฎหมาย)
> ต้นทุนธุรกิจขาวเพิ่มขึ้นจากการถูกรีดไถ ทำให้ผู้ประกอบการที่มีประสิทธิภาพถอยออก
> ระบบราชการสูญเสียความสามารถในการบังคับใช้กฎหมาย
นี่คือกลไกที่ผลักประเทศเข้าสู่วงจรของ “รัฐล้มเหลวแบบเงียบ” (silent state failure) …
ฟังให้ดีนะ ประเทศไทยเริ่มก้าวแรกของการเป็นรัฐล้มเหลวแบบเงียบ (หรือแบบ "ต้มกบ") ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งบัดนี้ผ่านมา 5 ปีเต็มแล้ว หลายคนจึงเริ่มตระหนักได้ชัดเจนว่า ทิศทางของประเทศไทยขณะนี้กำลังดิ่งลงเหว
4. ทางรอดที่เป็นไปได้
หากเราไม่ต้องการให้ประเทศไทยตกลงไปในหุบเหวแห่งรัฐล้มเหลวแบบสิ้นหวังสุด ๆ เราจำเป็นต้องทำการ “ผ่าตัดโครงสร้าง” อย่างน้อยสามด้าน
1. จัดการกับกลุ่มการเมือง–ทุนเทาที่ครอบงำรัฐ
ใช้กลไกทางกฎหมายและเศรษฐกิจ ยึดทรัพย์และตัดวงจรเงินผิดกฎหมายที่เลี้ยงการเมือง
2. ฟื้นฟูสถาบันตรวจสอบ
องค์กรอิสระต้องกลับมาทำหน้าที่แท้จริง ทั้งการปราบคอร์รัปชัน ตรวจสอบงบประมาณ และการเลือกตั้ง
3. สร้างแรงจูงใจเชิงบวกต่อทุนขาว
ออกแบบระบบภาษี ใบอนุญาต และกฎระเบียบให้โปร่งใสและแข่งขันได้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่สร้างนวัตกรรม ไม่ใช่ทุนที่ทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจ
5. บทสรุปเชิงวิชาการ
หากมองด้วยสายตาเศรษฐศาสตร์การเมือง ปัญหาของไทยไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่คือ ความเสื่อมถอยของสถาบันการเมือง–เศรษฐกิจ ที่เปิดช่องให้ "ทุนเทา"เข้าครอบงำ
คำตอบจึงไม่ใช่การเปลี่ยนผู้นำเพียงหน้าเดียว แต่คือการ "ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง" เพื่อสร้างแรงจูงใจใหม่ให้ระบบหันกลับไปสู่ความโปร่งใสและประสิทธิภาพ … ซึ่งผู้เขียนก็ไม่เห็นทางเหมือนกันว่าจะทำได้อย่างไรในสภาพการเมืองแบบนี้ พรรคการเมืองแบบนี้ ทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน
เพราะฉะนั้น ไทยจะเดินเข้าสู่ “รัฐล้มเหลว” เป็นแน่แท้ภายใน 10 ปีต่อจากนี้ โดยการยอมจำนนต่อมะเร็งที่กัดกินอยู่ภายใน