จีนตรวจเข้มลำไยตะวันออก พบซัลเฟอร์ตีกลับกว่า 10 ตู้ราคาดิ่ง 7 บาท/กก.
ลำไยภาคตะวันออกเจอวิกฤต 2 เด้ง ตลาดหลัก “จีน” พบ “สารซัลเฟอร์” เกินค่ามาตรฐาน ตีกลับกว่า 10 ตู้ ล้งรายใหญ่ไม่กล้าเหมาซื้อล่วงหน้าทำราคาดิ่งเหลือ 7 บาท/กก.ทันที เตรียมชงภาครัฐเจรจาจีนแก้ปัญหาด่วน หวั่นกระทบหนักผลผลิตลำไยจันทบุรีเกือบ 400,000 ตัน มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ที่กำลังทยอยออกมา หลังจากก่อนหน้านี้เผชิญปัญหาขาดแรงงานเก็บผลผลิต เพราะแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ
แหล่งข่าวจากวงการลำไยจังหวัดจันทบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่ลำไยนอกฤดูของภาคตะวันออกกำลังเริ่มทยอยออกผลผลิต ที่ผ่านมามีปัญหาขาดแรงงานในการจัดเก็บ เพราะแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศจำนวนมาก แต่ล่าสุดประสบปัญหาหนักกว่าคือ จีน ซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกลำไยได้ตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) หรือกำมะถันในลำไยเกินค่ามาตรฐาน 50 ppm จำนวนกว่า 10 ตู้ และถูกตีกลับมา
ส่งผลให้ผู้ประกอบการล้งรายใหญ่ที่ส่งออกลำไยไปตลาดจีนไม่กล้าทำสัญญาเหมาซื้อล่วงหน้ากับชาวสวน ทำให้ราคาลำไยภาคตะวันออกที่ปกติทำสัญญาซื้อขาย 30-32 บาท/กก. ตอนนี้ถูกกดราคาหนักเหลือ 21-22 บาท/กก. และมีบางรายเจ้าของสวนมีลำไย 30 ตัน ตั้งราคาไว้ 500,000 บาท หรือตก 17-18 บาท/กก. ล้งกดราคาเหลือเพียง 200,000 บาท/กก. หรือเฉลี่ยตก 7 บาท/กก.
“ปกติลำไยสดเมื่อเก็บมาชาวสวนจะอบด้วยกำมะถันหรือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา เพราะกำมะถันช่วยยับยั้งการเกิดเชื้อราและแบคทีเรียที่ทำให้เน่าเสีย ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2568 ด่านของจีนตรวจสอบเข้มข้น และเปลี่ยนแปลงวิธีการตรวจสอบ จากที่ตรวจเฉพาะเนื้อลำไยอย่างเดียว มาตรวจเปลือกลำไยด้วย
โดยนำเนื้อและเปลือกมาปั่นรวมกันและนำไปตรวจ ส่งผลพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์เกินค่ามาตรฐานแน่นอน ลำไยที่ถูกตีกลับเสียหายตู้ละ 300,000-400,000 บาท ทั้งนี้ ผู้เกี่ยวข้อง ล้ง ผู้ประกอบการ และเกษตรกร ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งเจรจากับทางการจีน ขอผ่อนปรนตรวจเฉพาะเนื้อเหมือนเดิมไปก่อน เพราะอยู่ในช่วงลำไยจะออกสู่ตลาดเดือนกันยายนนี้ 135,000 ตัน และจะส่งผลกระทบต่อลำไยจันทบุรีทั้งหมด 370,000 ตัน ถ้ารวม ๆ จ.สระแก้วด้วยเกือบ 500,000 ตัน จะกระทบหนักต่อผลผลิตลำไยมูลค่าส่งออกกว่า 10,000 ล้านบาท”
“ถ้าจีนยังยืนยันที่จะใช้มาตรการตรวจเข้มนำทั้งเนื้อและเปลือกมาปั่นรวมกัน แน่นอนว่าค่าซัลเฟอร์ต้องเกินมาตรฐานที่กำหนด 50 ppm แน่นอน ทางออกเร่งด่วนที่สุดคือ ขอให้รัฐบาลไทยรีบเจรจากับรัฐบาลจีนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน ไม่เช่นนั้นราคาลำไยอาจจะร่วงมาอีก อย่างไรก็ตาม ตลาดจีนเป็นตลาดสำคัญที่สุด เปรียบเทียบกับตลาดอินโดนีเซียที่ไทยส่งออกไปได้ราคาจะต่างกันมาก ลำไยไทย กก.ละ 30-32 บาท อินโดฯจะราคา 24-25 บาท
ทางด้านนางสาวญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี เขต 3 กล่าวเพิ่มเติม “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ได้รับข้อเสนอและความเดือดร้อนจากผู้ประกอบการ ล้ง สหกรณ์ในพื้นที่ปลูกลำไย อ.สอยดาว และ อ.โป่งน้ำร้อนจากจันทบุรี ในประเด็นปัญหาการตรวจพบสารซัลเฟอร์เกินมาตรฐาน ตรวจสอบจากการปั่นเปลือกและเนื้อลำไย เป็นมาตรการใหม่ที่จีนเพิ่งประกาศมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2568
เพราะมีล้งที่จันทบุรี ส่งออกลำไยในฤดู 40 ตู้ เพิ่งถูกตีกลับมา 1 ตู้ ในช่วงที่จีนประกาศใช้มาตรการใหม่ ในประเด็นที่เป็นปัญหา จึงแยกเป็น 2 เรื่องที่จะนำเสนอในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 21 สิงหาคม 2568 คือ 1) ขอให้แยกตรวจเฉพาะเนื้อไม่ให้เกิน 50 ppm 2) ถ้าจะให้ตรวจเปลือกด้วย ต้องไม่เกิน 400 ppm
“การเจรจากับทางการจีน ไทยเราคงต้องมีมาตรการเหมือน BY2 แสดงให้จีนเชื่อมั่นว่าสารซัลเฟอร์จะไม่เกินมาตรฐาน พร้อมให้ตรวจสอบได้คือ ต้องมีกระบวนการอบที่ชัดเจน ที่ยืนยันได้ว่าในกระบวนการนี้ค่ากำมะถันจะไม่เกิน 50 ppm เพราะเหลือเวลาช่วง 1-2 เดือนที่ลำไยจะออกมาก ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขได้ทันหรือไม่”
ข้อมูลสถานการณ์การผลิตลำไยในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี (15 ก.ค. 68) เนื้อที่ปลูก 252,276 ไร่ เนื้อที่ให้ผลผลิต 251,513 ไร่ ผลผลิตต่อไร่ 1,476 กก./ไร่ ผลผลิต 371,331 ตัน ให้ผลผลิตมากที่สุด อ.สอยดาว 202,214 ตัน รองลงมา อ.โป่งน้ำร้อน 168,703 ตัน เริ่มให้ผลผลิตสิงหาคม 2568-เมษายน 2569 ช่วงที่ผลผลิตออกมากที่สุด พฤศจิกายน-ธันวาคม 179,552 ตัน หรือ 48.35%
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : จีนตรวจเข้มลำไยตะวันออก พบซัลเฟอร์ตีกลับกว่า 10 ตู้ราคาดิ่ง 7 บาท/กก.
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net