“ทรัมป์” เล็งขึ้นภาษียานำเข้าสูงสุด 200% เสี่ยงดันราคายา–ขาดแคลนในสหรัฐ
"ทรัมป์" เล็งขึ้นภาษียานำเข้าสูงสุด 200% จากประเทศนอกยุโรป เสี่ยงดันราคายา ผู้เชี่ยวชาญเตือนอาจดันราคายาพุ่ง ขาดแคลนยา และซ้ำเติมผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ
วันที่ 1 กันยายน 2568 เวลา 15.28 น. เว็บไซต์ Yahoo Finance รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กำลังขยายสงครามการค้าด้วยการตั้งเป้าไปที่ เวชภัณฑ์และยานำเข้า ซึ่งก่อนหน้านี้แทบไม่เคยถูกเก็บภาษี โดยล่าสุดมีการประกาศข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและยุโรป ที่รวมถึง ภาษีนำเข้า 15% สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น ยา ขณะที่ทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสูงสุดถึง 200% สำหรับยาที่ผลิตนอกยุโรป
ผู้เชี่ยวชาญ PwC อธิบายว่า มาตรการนี้คือ Shock and Awe ต่ออุตสาหกรรมยาที่เคยเสียภาษีเป็นศูนย์ แต่กำลังเผชิญความเสี่ยงพุ่งไปถึง 200% ซึ่งอาจสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อผู้บริโภค
ทรัมป์ยืนยันว่าจะลดราคายาให้ชาวอเมริกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการเก็บภาษีสูงอาจสร้างผลตรงข้าม โดย ทำให้เกิดการขาดแคลนยา ราคายาพุ่ง และค่าเบี้ยประกันสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ
แม้ทรัมป์ระบุว่าจะเลื่อนการเก็บภาษีออกไป 1–1.5 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทยาสต็อกสินค้าและย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐ แต่หากมาตรการมีผลจริง นักวิเคราะห์คาดว่าจะเริ่มกระทบผู้บริโภคชัดเจนราวปี 2570–2571
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัมป์อาจเจรจาลดอัตราภาษีลงจาก 200% แต่แม้เพียง 25% ก็อาจทำให้ราคายาในสหรัฐเพิ่มขึ้น 10–14% ในที่สุด
ปัจจุบันสหรัฐขาดดุลการค้าในผลิตภัณฑ์ยาเกือบ 150,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี กว่า 97% ของยาปฏิชีวนะ, 92% ของยาต้านไวรัส และ 83% ของยาสามัญยอดนิยม มีส่วนผสมที่ผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย โดยการสร้างโรงงานผลิตยาใหม่ในสหรัฐใช้เวลาและเงินลงทุนสูงมาก
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากบริษัทผู้ผลิตยาสามัญ (generic drugs) ซึ่งกำไรต่ำ ไม่สามารถรับต้นทุนภาษีได้ อาจถอนตัวออกจากตลาดสหรัฐ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการขาดแคลนยาอย่างรุนแรง เพราะปัจจุบัน ยาสามัญคิดเป็นกว่า 92% ของใบสั่งยาทั้งหมดในสหรัฐ
ด้านบริษัทยารายใหญ่บางแห่งเริ่มลงทุนในสหรัฐแล้ว เช่น Roche ของสวิตเซอร์แลนด์ ทุ่มลงทุน 50,000 ล้านดอลลาร์ ขยายกิจการในสหรัฐ Johnson & Johnson ประกาศลงทุน 55,000 ล้านดอลลาร์ ใน 4 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ชี้ว่าการย้ายฐานผลิตทั้งระบบกลับสหรัฐไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจต้องการ เงินสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อจูงใจผู้ผลิตยาสามัญให้ลงทุน